โบรกยก ค้าปลีก-โรงแรม เด่น อานิสงส์ รัฐบาลใหม่ ปัดฝุ่น ‘คนละครึ่ง’

“หุ้นไทย” ขานรับโครงการ “คนละครึ่ง” หลังรัฐบาลใหม่จ่อฟื้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ดันกลุ่ม “ค้าปลีก-โรงแรม-อาหาร” รับอานิสงส์ แนะลงทุน “ซื้อเก็งกำไรระยะสั้น”
KEY
POINTS
- รัฐบาลใหม่เตรียมฟื้นโครงการ “คนละครึ่ง” เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อในประเทศและหนุนเศรษฐกิจ
- นักวิเคราะห์ชี้ว่าหุ้นกลุ่มค้าปลีก โรงแรม ร้านอาหาร และเครื่องดื่ม จะได้รับประโยชน์โดยตรงจากมาตรการนี้
- หุ้นที่ถูกจับตาเป็นพิเศษและคาดว่าจะได้รับอานิสงส์สูง ได้แก่ CENTEL, ERW, CPAXT และ BJC
- โบรกเกอร์บางส่วนมองว่าโครงการมีงบประมาณจำกัด จึงแนะนำเป็นการลงทุนเพื่อเก็งกำไรในระยะสั้น
ภายหลังรัฐบาลใหม่เตรียมฟื้นมาตรการ “คนละครึ่ง” หวังกระตุ้นกำลังซื้อในประเทศและหนุน “จีดีพี” โดยมีแนวโน้มสูงที่จะใช้ผ่านแอปพิเคชัน “เป๋าตัง” ด้วยความพร้อมด้านฐานข้อมูลผู้มีสิทธิทั้งประชาชนและร้านค้า
ส่งผลบรรยากาศตลาดหุ้นไทยตอบรับเชิงบวก โดย “หุ้นกลุ่มค้าปลีก โรงแรม ร้านอาหาร และอาหารเครื่องดื่ม” ทยอยปรับตัวขึ้นล่วงหน้า สะท้อนความคาดหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รัฐบาลใหม่เตรียมปัดฝุ่น “โครงการคนละครึ่ง” กลับมาอีกครั้ง หวังกระตุ้นกำลังซื้อในประเทศ
นายภาสกร หวังวิวัฒน์เจริญ นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ บล.เอเชียพลัส จำกัด เปิดเผยว่า แม้ร้านค้าที่มีสิทธิเข้าร่วมโครงการฯ ยังต้องติดตามต่อไป แต่ในมุมฝ่ายวิจัยมองว่ากำลังซื้อในประเทศที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการดังกล่าว จะหนุนต่อภาพรวมธุรกิจร้านอาหารในช่วงที่มีมาตรการดังกล่าว
ดังนั้น มองว่าบริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL ที่มีสัดส่วนรายได้จากร้านอาหารในไทยราว 50% ของรายได้ (ในเชิงสัดส่วนกำไรสุทธิ แบ่งเป็น โรงแรม : ร้านอาหาร ที่ 59% : 41%) จะได้ประโยชน์ มากกว่า บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT (สัดส่วนธุรกิจร้านอาหารอยู่ที่ 20% ของรายได้)
ขณะที่ “กำลังซื้อในประเทศ” ดีขึ้น ผสานกับโอกาสในการออกมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวเพิ่ม ประเมินบวกต่อเนื่องถึงกลุ่มโรงแรม Hop Inn ของ บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน ) หรือ ERW ด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ กระแสวงจรดอกเบี้ยขาลงชัดขึ้น ทั้งในสหรัฐและในไทย โดยดอกเบี้ยสหรัฐที่ลดลงจะอื้อต่อ CENTEL ที่มีการะหนี้สกุลดอลลาร์มากสุดในกลุ่มฯ ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยที่ลดลงจะบวกต่อ ERW สูงสุดในกลุ่มฯ
นายภาสกร กล่าวว่า เรายังคงแนะนำการลงทุน เน้นหุ้นที่รายได้อยู่ในไทยเป็นหลัก รับความหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ประกอบกับการเข้าสู่ฤดูท่องเที่ยวไทยตั้งแต่ช่วงใกล้ ต.ค. คาดเป็นปัจจัยช่วยสนับสนุนราคาหุ้น
โดยหุ้นที่เราคงชอบ CENTEL จากคาดอัตราการเติบโตของกำไรปกติปี 2569 สูงสุดในกลุ่มฯ เพราะแนวโน้มการดำเนินงานของโรงแรมใหม่ในมัลดีฟส์มีแนวโน้มผ่านจุดเลวร้ายสุดแล้วในปีนี้
ตามด้วย ERW และ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) THAI จาก Earning yield (EPS / Price) สูงสุดในกลุ่มฯ มองว่า Bond yield ที่ปรับตัวลง จะช่วยส่งให้ Valuation ในการประเมินมูลค่าสูงขึ้น
ส่วน บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT มองระดับ PER ที่ 26 เท่า เช่นเดียวกับ MINT ซึ่งโครงสร้างรายได้อยู่ใน EU เป็นหลัก จึงประเมินการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น ไม่น่าเด่นเท่า 3 ตัวข้างต้นตามความเห็นของเรา
นายรัฐศักดิ์ พิริยะอนนท์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า ฝ่ายวิจัยมองกลุ่มค้าปลีก รวมถึงกลุ่มอาหาร และเครื่องดื่มได้ประโยชน์บนแนวโน้มรัฐบาลใหม่มีโอกาสออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการบริโภคภาคเอกชนโดยเฉพาะการฟื้นโครงการ “คนละครึ่ง”
โดยหุ้นในกลุ่มค้าปลีก เช่น CPALL CPAXT BJC CRC DOHOME GLOBAL HMPRO กลุ่มอาหาร และเครื่องดื่มเช่น OSP CBG SAPPE RBF TKN SNNP M ZEN คาดได้อานิสงส์เชิงบวก SSSG มักมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น
นายพิริยพล คงวาณิช นักกลยุทธ์การลงทุน บล.บัวหลวง กล่าวว่า สำหรับนโยบายรัฐบาลใหม่ที่เตรียมจะออก คือ “คนละครึ่ง” คาดเริ่มต.ค มีงบประมาณ มีเงินสำรองราว 2.5 หมื่นล้านบาท ทำให้มองว่าหุ้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์มากสุด จะเป็นกลุ่มหุ้นที่เป็นค้าส่งสินค้า เช่น CPAXT , BJC รองมาเป็นกลุ่มที่เป็นสินค้าของกินของใช้ เช่น OSP ส่วนกลุ่มอื่นๆ อาจโดนผลกระทบ หากไม่ได้เป็นร้านค้าที่เข้าร่วมสิทธิ โดยภาพการจับจ่ายใช้สอยอาจจะไปอยู่ที่ร้านค้าขนาดเล็กมากกว่า
ดังนั้น กลยุทธ์ลงทุนแนะนำเป็นเพียง trading buy หรือ ซื่อเพื่อเก็งกำไรระยะสั้น เนื่องจากว่างบประมานโครงการเพียง 2.5 หมื่นล้านบาท เราถือว่ายังน้อยมากๆ เมื่อเทียบดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 1 มีมูลค่า 1.45 แสนล้านบาท เฟส 2 แจกคนสูงอายุราว 2 หมื่นล้านบาท







