“ธุรกิจครอบครัว”ปรับตัวสู่ตลาดทุน สร้างมูลค่า - เศรษฐกิจ และจ้างงานแสนล้าน

“ธุรกิจครอบครัว” หรือ family business มักถูกตั้งคำถามถึงการเติบโตแบบยั่งยืนอยู่บ่อยครั้ง ด้วยธรรมชาติที่ต้องหา ทายาท หรือ ผู้สืบทอด เข้ามาสานต่อธุรกิจ รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงธุรกิจได้ยากขาดความยืดหยุ่นจนอาจจะนำไปสู่การเปลี่ยนมือ ขายกิจการในที่สุด
“ฝ่ายวิจัย” ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ศึกษาเกี่ยวกับธุรกิจครอบครัวของบจ. ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ช่วง มกราคม - มิถุนายน 2568 จำนวน 850 บริษัท พบว่า 646 บริษัท หรือ 76% ของบริษัท จดทะเบียนทั้งหมดในตลาดหุ้นไทยจัดเป็น “ธุรกิจครอบครัว” ตามคำนิยามธุรกิจครอบครัวในการศึกษานี้ กลุ่มนี้มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมสูงถึง 50% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (total market capitalization)
จากที่พิจารณาโครงสร้างการถือครองหุ้นของบริษัทจดทะเบียนที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัว พบว่า สมาชิกครอบครัวถือหุ้นทั้งทางตรงและทางอ้อมผ่านนิติบุคคลต่างๆ อาทิ ห้างหุ้นส่วน บริษัทจำกัด บริษัทมหาชน และกองทุน เป็นต้น โดยส่วนใหญ่จดทะเบียนใน SET และเป็นองค์ประกอบสำคัญของดัชนีต่างๆ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ
และหากพิจารณาตามรายชื่อหลักทรัพย์ที่เป็นองค์ประกอบดัชนีต่างๆ พบว่า บริษัทจดทะเบียนที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัวอยู่ในทุกดัชนี และจำนวนบริษัทที่เป็นธุรกิจครอบครัวมีสัดส่วนสูงกว่า 60% ของทุกดัชนี
บริษัทจดทะเบียนที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัวส่วนใหญ่พัฒนามาจากธุรกิจดั้งเดิมของตระกูลหรือเป็นธุรกิจจัดตั้งใหม่ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งธุรกิจและกระจายตัวอยู่ในทุกหมวดธุรกิจ โดยเฉพาะในหมวดอาหารและเครื่องดื่ม หมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค หมวดพาณิชย์ หมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หมวดการแพทย์ หมวดบริการรับเหมาก่อสร้าง และในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (กลุ่มบริการ กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง)
เมื่อพิจารณาสัดส่วนธุรกิจครอบครัวในแต่ละหมวดธุรกิจ พบว่า 12 หมวดธุรกิจมีสัดส่วนธุรกิจครอบครัวมากกว่า 80% ได้แก่ หมวดอาหารและเครื่องดื่ม หมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หมวดพาณิชย์ หมวดการแพทย์ หมวดสื่อและสิ่งพิมพ์ หมวดวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร หมวดวัสดุก่อสร้าง หมวดของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ หมวดบรรจุภัณฑ์ หมวดแฟชั่น หมวดธุรกิจการเกษตร และหมวดกระดาษและวัสดุสิ่งพิมพ์
ความยั่งยืนของกิจการ จากอายุกิจการนับตั้งแต่ก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน (ปี 2568) ของบริษัทจดทะเบียนที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัวตามการศึกษานี้ พบว่า มีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 36 ปี โดยบริษัทจดทะเบียนที่มีอายุนับตั้งแต่ก่อตั้งจนถึงปัจจุบันมีอายุกิจการยาวนานที่สุดนานถึง 149 ปี หรือประมาณ 3 เท่าของอายุของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
เมื่อพิจารณากิจการ ณ ปีที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นไทย พบว่า ธุรกิจครอบครัว ณ ปีที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยมีอายุเฉลี่ย 19 ปี แสดงว่า ธุรกิจครอบครัวดำเนินการต่อเนื่องด้วยเงินทุนส่วนตัวและสินเชื่อก่อนเข้าตลาดทุนเพื่อขยายกิจการ บางบริษัทมีอายุมากเมื่อจดทะเบียน เนื่องจาก 1. ประกอบธุรกิจก่อนการก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2518 หรือเมื่อ 50 ที่ผ่านมา และ 2. ใช้เวลาปรับตัวให้เป็นไปตามเกณฑ์การจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ โดยบริษัทที่มีอายุมากที่สุดมีอายุ 118 ปี ณ ปีที่ จดทะเบียนฯ
ทั้งนี้ ค่าเฉลี่ยอาจต่ำกว่าความเป็นจริง เนื่องจากในช่วง 2 - 3 ปีที่ผ่านมา มีบริษัทจดทะเบียนปรับโครงสร้างองค์กร ควบรวมกิจการ หรือแลกหุ้นเป็นบริษัทใหม่ และมีการเพิกถอนออกจากตลาดหุ้น ส่งผลให้วันก่อตั้งและจดทะเบียนเป็นไปตามบริษัทใหม่ ทำให้อายุน้อยกว่าระยะเวลาดำเนินงานจริง
ณ สิ้นปี 2567 บริษัทจดทะเบียนที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัว 642 บริษัทมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม 8.51 ล้านล้านบาท คิดเป็น 50.4% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมทั้งตลาด (total market Capitalization) โดย มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดในช่วงปี 2561 - 2567 ของบริษัทจดทะเบียนที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัวมีอัตราเติบโตเฉลี่ย (Compound Annual Growth Rate) ปีละ 2.55%
สิ้นเดือนมิถุนายน 2568 บริษัทจดทะเบียนที่เป็นธุรกิจครอบครัว 646 บริษัท มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม 6.1 ล้านล้านบาท ลดลง 28.3% จากสิ้นปี 2567 จากการลดลงของราคาหลักทรัพย์เป็นสำคัญ สังเกตได้จาก SET Index ที่ลดลง 22.2% และเมื่อเปรียบเทียบขนาดกับตลาดรวม ธุรกิจครอบครัวมีสัดส่วนเฉลี่ย 48.2%
การระดมทุนเข้าซื้อขายในตลาดหุ้นไทยในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา (ปี 2558 - 2567) มีบริษัทจดทะเบียนระดมทุนผ่านการเสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชนครั้งแรก (Initial Public Offering: IPO) ในตลาดหุ้นไทยรวมทั้งหมด 315 บริษัท
โดย 264 บริษัท จากทั้งหมด 314 บริษัทเป็นธุรกิจครอบครัว คิดเป็น 84.1% ของบริษัทที่ระดมทุนผ่านกิจกรรม IPO ในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นธุรกิจครอบครัว หรือ กล่าวอีกทางหนึ่งได้ว่า มีความชัดเจนว่า “ธุรกิจครอบครัวอาศัยกลไกจากการระดมทุนในตลาดหุ้นไทย” เป็นแหล่งเงินทุนเพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตของกิจการ
เมื่อพิจารณามูลค่าการระดมทุนหรือ มูลค่า IPO ในช่วงเวลาเดียวกัน พบว่าบริษัทจดทะเบียนที่จัดเป็น ธุรกิจครอบครัวมีมูลค่าระดมทุนรวมสูงกว่า 483,190 ล้านบาท หรือคิดเป็น 77.1% ของมูลค่า IPO ทั้งหมด ซึ่งมีทิศทางเดียวกับมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) ณ วันซื้อขายวันแรกที่มีมูลค่ารวม 2.24 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 74.7% ของ Market Cap รวมของบริษัทที่ IPO ทั้งหมดในช่วงเวลาดังกล่าว
นอกจากนี้ยังพบว่าในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 ธุรกิจครอบครัวเข้าระดมทุนผ่านกิจกรรม IPO 4 บริษัท จากทั้งหมด 5 บริษัทที่ทำ IPO หรือกล่าวได้ว่า80.0% ของจำนวนบริษัทที่ระดมทุนผ่านกิจกรรม IPO ทั้งหมดซึ่ง มูลค่าระดมทุนรวม 730 ล้านบาท คิดเป็น 63.5% ของมูลค่า IPO ทั้งหมด
ตลอดช่วงเวลาที่ทำการศึกษา คือ ในช่วงปี2558 - มิถุนายน 2568 มีธุรกิจครอบครัวเข้าระดมทุนผ่านกิจกรรม IPO รวม 268 บริษัท จากทั้งหมด 319 บริษัท หรือคิดเป็น 84.0% ของจำนวนบริษัทที่ระดมทุนผ่านกิจกรรม IPO ทั้งหมดโดยมีมูลค่าระดมทุนรวมสูงกว่า 483,920 ล้านบาท หรือคิดเป็น 77.1% ของมูลค่า IPO ทั้งหมด ซึ่งมีทิศทางเดียวกับมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) ณ วันซื้อขายวันแรกที่มีมูลค่ารวม 2.25 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 74.7% ของ Market Cap รวมของบริษัทที่ IPO ทั้งหมดในช่วงเวลาดังกล่าว
นอกจากบริษัทจดทะเบียนที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัวจะ ระดมทุนผ่านกิจกรรม IPO แล้วบริษัทจดทะเบียนที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัวที่เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นไทยในช่วง ปี 2558 - 2567 มีการระดมทุนในตลาดหุ้นผ่านตลาดรอง (Secondary offering)โดย 108 บริษัท(จากทั้งหมด 264 บริษัท)ระดมทุนในตลาดรอง410 ครั้ง ด้วยมูลค่าระดมทุนรวม 351,131 ล้านบาท
จากการศึกษายังพบว่า 64 บริษัทที่เป็นบริษัทจดทะเบียนที่จัดเป็นที่เป็นธุรกิจครอบครัวได้ระดมทุนในตลาดรองในช่วง 2 - 3 ปีแรกที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นไทย เมื่อพิจารณาศักยภาพของการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัว จากรายได้รวมในช่วงปี 2560 - 2567 พบว่ารายได้รวมของบริษัทจดทะเบียนกลุ่มนี้มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีสูงถึง 8.25%
โดยจากผลประกอบการล่าสุดปี 2567 ของ 642 บริษัทจดทะเบียนที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัว “มีรายได้รวมสูงถึง 9 ล้านล้านบาท” คิดเป็น 48.28% ของรายได้รวมของบริษัทจดทะเบียนรวมทั้งตลาด หรือเติบโตเฉลี่ยต่อปี 49.37% ในช่วงปี 2560 - 2567 และมีส่วนร่วม (contribution) ยต่อเศรษฐกิจไทยจาก ปี 2567 รายได้รวมของบริษัทจดทะเบียนจัดเป็นธุรกิจครอบครัวในตลาดหุ้นไทย คิดเป็น 48.5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP)หรือเฉลี่ย 40.5% ในช่วงปี 2560 - 2567
ด้านกำไรสุทธิและสินทรัพย์รวมของบริษัทจดทะเบียนที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัวในช่วงเวลาเดียวกัน พบว่าสินทรัพย์รวมของบริษัทจดทะเบียนที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัวเติบโตสูงมาก เฉลี่ยปีละ9.63% สะท้อนว่า การระดมทุนในตลาดหุ้นไทยมีส่วนช่วยให้ธุรกิจครอบครัวสามารถจัดหาเงินทุนเพื่อขยายกิจการในระยะยาว ขณะที่อัตราการเติบโตของกำไรสุทธิค่อนข้างต่ำเฉลี่ยปีละ3.05% แต่สูงกว่าการเติบโตของ GDPที่เติบโต (CAGR) เฉลี่ยปีละ 2.64%
ปี 2567 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัวจำนวน 641 บริษัท จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลรวมสูงกว่า 126,035 ล้านบาท คิดเป็น 37.92% ของภาษีเงินได้นิติบุคคลของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดในตลาดหุ้นไทย ที่จ่ายให้ภาครัฐในปี 2567หรือ 16.35% ของภาษีเงินได้นิติบุคคลทั้งระบบที่กรมสรรพากรจัดเก็บในปี 2567
บริษัทจดทะเบียนที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัวมีบทบาทสำคัญในการ “ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ” ของประเทศผ่าน “การจ้างงาน” จำนวน 642 บริษัท มีจำนวนพนักงานรวม 1.48 ล้านคน เพิ่มขึ้น 1.8% จากปี 2566 ซึ่งจำนวนพนักงานของบริษัทจดทะเบียนที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัวนี้ คิดเป็น 9.3% ของจำนวนพนักงานที่เป็นลูกจ้างภาคเอกชนทั้งหมดในปี 2567
เมื่อพิจารณาการจ้างงานรายกลุ่มอุตสาหกรรม กลุ่มเกษตรและอาหาร กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มบริการ ที่มีการจ้างพนักงานในสัดส่วนที่มากกว่า 80% ของจำนวนพนักงานทั้งหมดในกลุ่มอุตสาหกรรมนั้นๆ
โดยสรุปอาจกล่าวได้ว่า บริษัทจดทะเบียนที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัวใช้ กลไกตลาดทุนเพื่อระดมทุนขยายกิจการ ทั้งผ่านกิจกรรม IPO และระดมทุนเพิ่มเติมในตลาดรอง และมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยในฐานะผู้จ่ายภาษีและผู้จ้างงาน ดังนั้น ภาครัฐควรสนับสนุนให้ธุรกิจครอบครัวสามารถแข่งขันและเติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อเสริมสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต







