"อัสสเดช"เปิดสเปคขุนคลัง-ทีมเศรษฐกิจ หวังหนุนเป็นช่องทางระดมทุนภาครัฐ

"อัสสเดช" เชื่อมั่นนักลงทุน-ต่างชาติ มองเปลี่ยนแปลงการเมืองไม่มีผลต่อเศรษฐกิจยังเดินหน้าต่อ แต่เติบโตระยะยาวจำกัดหากไม่เปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ รับให้น้ำหนักนโยบายต่อเนื่องส่วน Jump+พร้อมเดินหน้าต่อ ระบุสเปคขุนคลัง-ทีมเศรษฐกิจมีความเข้าใจและใช้ประโยชน์แหล่งทุนจากตลาดหุ้นมากที่สุด
นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวถึง สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยกับการเปลี่ยนแปลงการทางเมืองที่จะเกิดขึ้นจากการประชุมสภาฯ วันนี้ (5ก.ย.) เพื่อโหวตนายกฯ คนที่ 32 หากสามารถได้นายกฯจริงย่อมเป็นผลดีต่อการลงทุน แต่หากยังยืดเยื้อเป็นความไม่แน่นอนซึ่งเป็นปัจจัยที่ตลาดหุ้นไม่ชอบ และในมุมมองของต่างชาติมีความคุ้นเคยกับการเมืองไทยที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันจึงไม่แปลกใจแต่จะให้ความสำคัญกับนโยบายที่ต่อเนื่องและอยากเห็นโครงการใหญ่เกิดขึ้นจริงมากกว่า
“ไม่ว่าการเมืองจะเดินหน้าหรือยืดเยื้อไมได้เปลี่ยนแปลงพื้นฐานเศรษฐกิจไทย ภาคเอกชนและบจ.ยังดำเนินการผลิตไปได้ไม่ได้หยุดชะงัก แต่การเติบโตที่ จีดีพี 2 % น้อยกว่าประเทศเพื่อบ้าน เป็นเพราะโปรดักส์ไทยอยู่ในอุตสาหกรรมเก่า ถ้าจะเปลี่ยนแปลงได้จริงต้องสร้างพื้นฐานใหม่ มีผู้ประกอบการใหม่ๆ เข้ามาเพื่่อให้เกิดโอกาสเติบโตในระยะยาว “นายอัสสเดชกล่าว
ทั้งนี้ในด้านนโยบายที่อยากเห็นหากได้รัฐบาลชุดใหม่จริงอยากให้ตลาดทุนเป็นช่องทางและเครื่องมือในการเดินหน้าลงทุน เช่น Infrastructure fund รวมไปถึงการเร่งเบิกจ่ายงบทั้งปี 2568 และต่อเนื่องปี 2569 เพื่อดันเครื่องยนต์ส่งออกของไทยและเศรษฐกิจในช่วงที่เหลืองของปีและครึ่งปีแรก 2569
ส่วนคุณสมบัติว่าที่ รมต. คลังมีกระแสข่าวอาจจะเป็น นายกรณ์ จาติกวณิช หรือทีมเศรษฐกิจ อยากได้บุคคลหรือทีมที่เข้าใจและดำเนินนโยบายตลาดทุนเดินหน้าต่อไปได้ รวมทั้งสร้างการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานทางเศรษฐกิจให้ยังเติบโตและยังเป็นที่สนใจลงทุน เพราะเชื่อว่าต่างชาติยังสนใจหุ้นไทยที่มีเศรษฐกิจใหญ่ในอาเซียน บจ.ขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรม ที่น่าสนใจ
อย่างไรก็ตามมีบ้างนโยบายตลาดทุนที่ต้องทำต่อเนื่องกับรัฐบาลชุดใหม่ โครงการ Jump+ ที่มีบจ.สนใจเข้าร่วมแล้ว 35 บจ. ซึ่งทางคลังก็รับหลักการหลังเข้าพบพูดคุย ส่วนนโยบายที่น่าจะชะลอไปเลย คือ การออก G-token และ Bond Connect รวมถึงเดินหน้าพรบ.ให้อำนาจตรวจสอบกับก.ล.ต.
สำหรับช่วงเดือนส.ค.ที่ผ่านมา ดัชนีปิดที่ 1236.61 จุด ลดลง 0.5% จากเดือนก่อนและตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือนส.ค.ลดลง 11.7 % ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงมากกว่าตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในภูมิภาค มีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย 50,672 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.1 % จากช่วงเดียวกันปีก่อน และรอบ 8 เดือนปี 2568 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย 43,011 ล้านบาท ลดลง 3.1% จากช่วงเดียวกันปีก่อน
โดยนักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิรอบ 8 เดือนที่ 84,384 ล้านบาท แต่เดือนส.ค. ต่างชาติยังมีสัดส่วนซื้อขายสูงสุด 51.47 % ซึ่งฟันด์โฟลว์ที่เข้าลงทุนในหุ้นไทยจากวอลุ่มการซื้อขายต่างชาติที่เพิ่มขึ้นคาดว่าจากแนวโน้มธนาคารกลางหสรัฐลดดอกเบี้ยลง 0.25 % ประชุม 17 ก.ย. ทำให้มีเงินลงทุนเข้ามาในภูมิภาคนี้ และเศรษฐกิจไทยยังน่าสนใจ มูลค่าตลาดหุ้นไทยที่ระดับน่าลงทุนเทียบกับการจ่ายปันผล และตลาดหวังได้นายกคนใหม่ที่ดำเนินนโยบายเศรษฐกิจได้
นายสรวิศ ไกรฤกษ์ รองผู้จัดการสายงานผู้ออกหลักทรัพย์และสายงานการตลาด ตลท. กล่าวเพิ่มเติม ตลาดระดมทุนหรือไอพีโอของไทย 8 เดือน 2568 สามารถระดมทุนได้ 36 ล้านดอลลาร์ นั้นเป็นตัวเลขที่ต่ำสุดในรอบหลายปี เทียบกับปี 2567 ไอพีโอสามารถระดมทุนได้ 780 ล้านดอลลาร์ และปี 2566 ที่ 1,267 ล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตามบริษัทเตรียมเข้าไอพีโอยื่นไฟลิ่งที่สำนักงานก.ล.ต.และ 18 บริษัท ซึ่งไฟลิ่งผ่าน 10 บริษัท สามารถระดมทุนเข้าตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีได้ ซึ่งในจำนวนนี้มี 2 บริษัทเป็นขนาดใหญ่จากตัวเลขยอดขายและกำไร







