‘บล.บียอนด์’ลุยบริหารมั่งคั่ง ตั้งเป้าปีนี้ AUA-AUM แตะ 2 หมื่นล.

‘บล.บียอนด์’ลุยบริหารมั่งคั่ง ตั้งเป้าปีนี้ AUA-AUM แตะ 2 หมื่นล.

“บล.บียอนด์” ลุยบริหารความมั่งคั่ง ชูกลยุทธ์ “3 FLAVOR Portfolio” สร้าง ผลตอบแทน เหนืออุตสาหกรรม ขยายงานน IPO เปิดพอร์ตธีเมติกส์ ตั้งเป้าปีนี้ AUM-AUAโต 80% แตะ 2 หมื่นล้าน

KEY

POINTS

  • บล.บียอนด์ ตั้งเป้าสินทรัพย์ภายใต้การให้คำแนะนำและการจัดการ (AUA-AUM) รวมแตะ 20,000 ล้านบาท ภายในปี 2568
  • ชูกลยุทธ์การจัดพอร์ตลงทุน “3 FLAVOR Portfolio” ที่มีระดับความเสี่ยงและผลตอบแทนต่างกันเพื่อตอบโจทย์นักลงทุน
  • เน้นการเติบโตจาก 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจหลักทรัพย์, บริหารความมั่งคั่ง และวาณิชธนกิจ (IB) พร้อมผลักดันกองทุนธีเมติกส์ในต่างประเทศ

ดร.ศุภกร สุนทรกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานบริหารความมั่งคั่ง บล.บียอนด์ เปิดเผยว่า สำหรับแผนการดำเนินในช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทยังเดินหน้าขยายธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง ตั้งเป้าหมายปี 2568 มี AUA-AUM รวมกันแตะ 20,000 ล้านบาท เติบโต 80% จากช่วงเดียวกันปีก่อน จากครึ่งปีแรก 2568 ทำได้แล้ว 15,023 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% จากสิ้นปีก่อน เป็น AUA 12,059 ล้านบาท และ AUM 2,973 ล้านบาท 

โดยช่วยผลักดัน เป้าหมายรายได้ครึ่งปีแรก 2568 เพิ่มขึ้น 80% จากสิ้นปีก่อน โดยมาจากทั้ง 3 ธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง และธุรกิจ IB จากครึ่งปีแรกปีนี้ ทำได้แล้ว 323 ล้านบาท มาจากธุรกิจหลักทรัพย์ 189 ล้านบาท ธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง 78 ล้านบาท และธุรกิจ IB 56 ล้านบาท

“ท่ามกลางตลาดหุ้นผันผวน ในปีนี้ ถือว่าสามารถเติบโตได้ดี และมุ่งรักษาส่วนแบ่งการตลาด อันดับ 3 ของตลาดหุ้นกู้ที่ยังคงเติบโตโดดเด่น แม้ว่าจะเริ่มทำตลาดมาปีกว่าเท่านั้น”

ดร.ศุภกร กล่าวว่า สำหรับแผนงานในช่วงที่เหลือปีนี้ ทางด้านธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง เน้นกลยุทธ์การจัดพอร์ตการลงทุนพร้อมเสิร์ฟ “3 FLAVOR Portfolio ” ได้แก่ 1.Beyond Espresso รับความเสี่ยงหุ้นได้มากผลตอบแทน 8% 2.Beyond Latte 60% หุ้น 40% กองทุนที่เหมาะสมและทองคำ ผลตอบแทน 6-8% 3.Beyond Shakerato แบ่งการลงทุนระยะยาว ด้วยกลยุทธ์ ธีเมติกส์ 50% และระยะสั้นด้วยกลยุทธ์หุ้น 50% ซึ่งสามารถให้ผลตอบแทน 6% โดยการจัดพอร์ตลงทุนทั้ง 3 รูปแบบที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนดีกว่าอุตสาหกรรมทั้งสิ้น

รวมถึง ผลักดันกองทุนกลยุทธ์ธีเมติกส์ หุ้นต่างประเทศ เช่น ธีมพลังงานนิวเคลียร์ ธุรกิจอุตสาหกรรมผลิตอาวุธป้องกันประเทศ ตั้งแต่ต้นปีเติบโตแรงมากกว่า50% รับข่าวสงคราม และมีแนวโน้มเติบโตใน2-3ปีข้างหน้า และภาวะสงครามในปีนี้สงบ ราคาหุ้นกลุ่มนี้ย่อลงมองเป็นจังหวะที่นักลงทุนสามารถเข้าลงทุนกองทุนรวมหรือ ETF ได้

สำหรับธุรกิจ IB ในช่วงครึ่งหลังปีนี้ บริษัทยังมีงานไอพีโอ(IPO) ในมืออยู่ แม้ว่าช่วงหลังธุรกิจนี้จะชะลอตัวลง จากภาวะตลาดหุ้นที่ไม่หวือหวา และ ราคาหุ้นไม่ดี ทำให้หลายบริษัทชะลอการออกไอพีโอ แต่อย่างไรก็ตามในครึ่งปีแรกนี้ที่ผ่านมานี้ บริษัทมี ออกไอพีโอไปแล้ว 2 บริษัท BKA ,NUT

นอกจากนี้ธุรกิจหลักทรัพย์ มีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น เทรด หุ้นต่างประเทศ และธุรกิจขายประกันเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง ที่เติบโตต่อเนื่อง ในช่วง1 ปีที่ผ่านมา

ขณะที่ บริษัทรายงานผลดำเนินงานช่วง 6 เดือนแรกปี 2568 ด้วยการเติบโตของรายได้รวมอย่างมีนัยสำคัญ โดยเพิ่มขึ้นถึง 30.47% หรือคิดเป็น134.54 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ทำให้รายได้รวมอยู่ที่ 576.11 ล้านบาท ปัจจัยหลักมาจากการขยายตัวของธุรกิจหลักทรัพย์ในทุกสายงาน ได้แก่ รายได้ค่านายหน้า, ค่าธรรมเนียมจากการเป็นตัวแทนซื้อขายหน่วยลงทุน, การจัดจำหน่ายหลักทรัพย์, วาณิชธนกิจ รวมถึงกำไรจากเครื่องมือทางการเงิน

ทั้งนี้ การเติบโตของรายได้เป็นผลมาจากการขยายธุรกิจเชิงรุก โดยเฉพาะการเพิ่มจำนวนบุคลากรเพื่อรองรับธุรกรรมด้านธุรกิจหลักทรัพย์และการบริหารความมั่งคั่ง 

โดยรายได้ค่านายหน้า เพิ่มขึ้น 52.59% จาก 52.46 ล้านบาท เป็น80.05 ล้านบาท การเพิ่มขึ้นนี้มาจากทั้งรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งสะท้อนถึงจำนวนลูกค้าและพนักงานที่เพิ่มขึ้นตามแผนการขยายธุรกิจตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2567 รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการ เติบโตอย่างก้าวกระโดดโดยส่วนใหญ่มาจากค่าธรรมเนียมการเป็นตัวแทนซื้อขายหน่วยลงทุนที่เพิ่มขึ้นและค่าธรรมเนียมด้านวาณิชธนกิจที่เติบโต กำไรจากเครื่องมือทางการเงิน เพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากกำไรจากการซื้อขายตราสารหนี้

ในทางกลับกันผลการดำเนินงานบริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด (TSB) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมที่บริษัทเข้าไปลงทุนเชิงกลยุทธ์ ยังคงเผชิญกับความท้าทาย แม้ว่ารายได้จากการขายและบริการของ TSB จะเพิ่มขึ้น 25.70% เป็น 1,052.52 ล้านบาท เนื่องจากมีการเพิ่มจำนวนรถและเรือโดยสารไฟฟ้า รวมถึงการที่ ขสมก. ถอนรถในเส้นทางทับซ้อน

อย่างไรก็ตาม TSB ยังคงมีจำนวนผู้โดยสารต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ สาเหตุหลักมาจากยังมีผู้ประกอบการเดิมให้บริการทับซ้อนในเส้นทางที่ได้รับใบอนุญาต นอกจากนี้ การที่ TSB ต้องรับรู้ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวน 2,825.83 ล้านบาท สำหรับเงินให้กู้ยืมและดอกเบี้ยค้างรับจากบริษัทร่วมทางอ้อม (TSB) เนื่องจากมีการปรับวิธีการคิดค่าโดยสารตามที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด ซึ่งส่งผลให้รายได้ของ TSB ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ