S&P 500 NASDAQ ปิดบวก หุ้นเทคฯ หนุน แต่ตัวเลขเศรษฐกิจถ่วงไว้

S&P 500 และ Nasdaq ปิดบวกวันพุธ จากการพุ่งขึ้นแรงของหุ้น Alphabet และการปรับตัวขึ้นของกลุ่มเทคโนโลยี แต่ความกังวลด้านเศรษฐกิจจำกัดการขึ้น ตลาดแรงงานสหรัฐอ่อนตัวลง
ซีเอ็นบีซี รายงานดัชนี S&P 500 ปรับตัวสูงขึ้นในวันพุธ (3 ก.ย.68) โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี หลังจากคำตัดสินของศาลรัฐบาลกลางในคดีต่อต้านการผูกขาดของบริษัท Alphabet ทำให้เกิดความเชื่อมั่นว่าบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่จะสามารถรับมือกับผลกระทบจากกฎระเบียบได้
ดัชนีแนสแด็ก Nasdaq Composite ซึ่งเน้นหุ้นเทคโนโลยีเป็นหลัก พุ่งขึ้น 1.03% ปิดที่ 21,497.73 จุด ขณะที่ S&P 500
เพิ่มขึ้น 0.51% ปิดที่ 6,448.26 จุด ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ Dow Jones Industrial Average ลดลง 24.58 จุด หรือ 0.05% ปิดที่ 45,271.23 จุด
ราคาหุ้นของ Alphabet บริษัทแม่ของ Google พุ่งขึ้น 9.1% หลังจากผู้พิพากษาศาลรัฐบาลกลางตัดสินเมื่อวันอังคารว่า Google สามารถคงเบราว์เซอร์ Chrome ไว้ได้ แต่จะไม่ได้รับอนุญาตให้ทำข้อตกลงการค้นหาแบบเอ็กซ์คลูซีฟกีดกันรายอื่น และต้องเปิดเผยข้อมูลการค้นหา
การตัดสินคดีครั้งนี้หลีกเลี่ยงผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดสำหรับยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี และส่วนใหญ่มาจากแนวคิดที่ว่าปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้ให้ทางเลือกมากขึ้นกับผู้บริโภค
“นี่เป็นเหตุการณ์ที่ชัดเจนสำหรับหุ้น GOOGL และเรายังคงชอบหุ้นตัวนี้” มาร์ก มาฮานีย์ หัวหน้าฝ่ายวิจัยอินเทอร์เน็ตของ Evercore ISI กล่าวในรายการ “Squawk on the Street” ทางช่อง ซีเอ็นบีซี “ความกังวลใจนี้ผ่านพ้นไปแล้ว ตอนนี้คุณสามารถมุ่งเน้นไปที่ปัจจัยพื้นฐาน และมูลค่า ผมคิดว่าหุ้นยังคงน่าสนใจอย่างมาก”
จากคำตัดสินนี้ยังหมายความว่า Apple ยังคงสามารถโหลดเครื่องมือค้นหาข้อมูล Google Search ไว้ล่วงหน้าบนโทรศัพท์ iPhone ได้ ซึ่งถือเป็นข้อตกลงที่ทำกำไรให้กับ Apple บริษัทซึ่งกำลังเผชิญกับคดีต่อต้านการผูกขาดเช่นกัน เห็นราคาหุ้นพุ่งขึ้น 3.8%
การฟื้นตัวในวันพุธส่วนใหญ่นำโดยกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งเป็นเหตุผลที่ดัชนีดาวโจนส์ซึ่งไม่ได้ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีมากนักลดลง หุ้นกลุ่มพลังงาน และกลุ่มธนาคารอ่อนตัวลง เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่พุ่งสูงขึ้น
ความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจทวีความรุนแรงขึ้นในวันพุธ หลังจากข้อมูลตำแหน่งงานว่างล่าสุดแสดงให้เห็นว่าลดลงสู่ระดับที่แทบไม่เคยเห็นมาก่อนนับตั้งแต่การระบาดของโควิด-19
แบบสำรวจการเปิดรับสมัครงาน และการหมุนเวียนของแรงงาน (Job Openings and Labor Turnover Survey) ของกระทรวงแรงงานระบุว่ามีตำแหน่งงานว่างจำนวน 7.18 ล้านตำแหน่ง ในเดือนกรกฎาคม
ตัวเลขดังกล่าวต่ำกว่าที่บริษัทดาวโจนส์ คาดการณ์ไว้ที่ 7.4 ล้านตำแหน่ง
ส่งผลให้รายงานการจ้างงานเดือนสิงหาคม ซึ่งมีกำหนดออกในวันศุกร์มีความสำคัญมากขึ้นในฐานะบททดสอบสำคัญครั้งต่อไปของตลาดหุ้น
การซื้อขายเดือนกันยายน เริ่มต้นด้วยสัญญาณลบ โดยหุ้นต่างๆ สูญเสียโมเมนตัมในช่วงการซื้อขายในวันอังคาร ดัชนีหลักทั้งสามของสหรัฐ ปิดตลาดในแดนลบ เนื่องจากนักลงทุนต่างเทขายกำไรจากการฟื้นตัวของราคาในช่วงฤดูร้อน
ในวันอังคาร อัตราผลตอบแทนพันธบัตรพุ่งสูงขึ้นเช่นกัน เนื่องจากนักลงทุนกำลังพิจารณาถึงผลกระทบจากคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ของรัฐบาลกลางเมื่อวันศุกร์ ที่ว่ามาตรการภาษีศุลกากรทั่วโลกของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ นั้นผิดกฎหมาย คำตัดสินนี้อาจบังคับให้สหรัฐ ต้องคืนเงินหลายพันล้านดอลลาร์ที่ได้มาจากการเก็บภาษีการค้า
เดือนกันยายน เป็นเดือนที่ตลาดหุ้นสหรัฐ อ่อนแอ สก็อตต์ เรน นักกลยุทธ์ตลาดโลกอาวุโสจาก Wells Fargo Investment Institute กล่าวว่า เดือนกันยายนเป็นเดือนที่แย่ที่สุดสำหรับดัชนี S&P 500 นับตั้งแต่ปี 1950 โดยมีการปรับลงเฉลี่ย 0.7%
“ตลาดหุ้นกำลังเข้าสู่เดือนกันยายน ด้วยช่วงเวลาพักตัวจากภาวะตลาดสงบล่าสุด” เรน กล่าว “ความผันผวนของตลาดน่าจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหุ้น และตราสารหนี้ระยะสั้น และระยะยาว ขณะที่เศรษฐกิจชะลอตัว ผลกระทบจากภาษีศุลกากรเกิดขึ้นทีละน้อย และความไม่แน่นอนทางการเมืองยังคงดำเนินต่อไป”
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์





