Private equity in a changing world: turning volatility into an opportunity

การลงทุนใน PE ช่วยลดความผันผวนของพอร์ตโดยรวม เนื่องจากราคาไม่ได้อิงกับอารมณ์ของตลาดสาธารณะ แต่ขึ้นอยู่กับศักยภาพของธุรกิจโดยตรง ทำให้มีความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นต่ำและช่วยกระจายความเสี่ยง PE เป็นประตูสู่โอกาสในการลงทุนในเมกะเทรนด์ที่เปลี่ยนแปลงโลก เช่น AI, การแพทย์ดิจิทัล และพลังงานสะอาด ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น เนื่องจากนวัตกรรมเหล่านี้มักเริ่มต้นในบริษัทเอกชนนอกตลาดหลักทรัพย์

KEY

POINTS

  • ในสภาวะเศรษฐกิจผันผวนและดอกเบี้ยสูง กองทุน PE ได้เปลี่ยนกลยุทธ์จากการพึ่งพาการกู้ยืม มาเน้นการสร้างคุณค่าจากการดำเนินงานจริง ทำให้บริษัทที่ลงทุนมีความแข็งแกร่งและทนทานต่อวิกฤติได้ดีขึ้น
  • ข้อมูลในอดีตชี้ว่าช่วงเวลาวิกฤติและความผันผวนของตลาดถือเป็นโอกาสสำคัญสำหรับ PE ที่สามารถเข้าลงทุนในกิจการที่มีมูลค่าต่ำและสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยเมื่อตลาดฟื้นตัว โดยเฉลี่ยสูงกว่าตลาดหุ้นมากกว่า 8%
  • การลงทุนใน PE ช่วยลดความผันผวนของพอร์ตโดยรวม เนื่องจากราคาไม่ได้อิงกับอารมณ์ของตลาดสาธารณะ แต่ขึ้นอยู่กับศักยภาพของธุรกิจโดยตรง ทำให้มีความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นต่ำและช่วยกระจายความเสี่ยง
  • PE เป็นประตูสู่โอกาสในการลงทุนในเมกะเทรนด์ที่เปลี่ยนแปลงโลก เช่น AI, การแพทย์ดิจิทัล และพลังงานสะอาด ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น เนื่องจากนวัตกรรมเหล่านี้มักเริ่มต้นในบริษัทเอกชนนอกตลาดหลักทรัพย์
  • โครงสร้างกองทุนแบบใหม่ที่เรียกว่า "Evergreen Fund" ช่วยเพิ่มสภาพคล่องและทำให้การลงทุนใน PE มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ตอบโจทย์โลกการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงโดยไม่จำเป็นต้องล็อกเงินลงทุนเป็นระยะเวลานานเหมือนในอดีต

ในโลกการลงทุนที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน “Private Equity” (PE) หรือการลงทุนในกิจการที่ยังไม่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ กำลังกลายเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ได้รับความสนใจมากขึ้น จากนักลงทุนสถาบันไปจนถึงนักลงทุนรายใหญ่ ด้วยเหตุผลสำคัญคือ มันเปิดโอกาสให้เข้าถึงธุรกิจที่ยังอยู่ในช่วงการเติบโตสูง โดยเฉพาะบริษัทนวัตกรรมที่ยังไม่ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ในทางกลับกันปัจจุบันจำนวนบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องตัวเลขในสหรัฐฯ ชี้ให้เห็นว่า จำนวนบริษัทจดทะเบียนลดลงกว่า 40% นับตั้งแต่ปลายยุค 1990 

อีกทั้งบริษัทที่มีศักยภาพสูงจำนวนมากยังคงเลือกที่ดำเนินธุรกิจในรูปแบบบริษัทเอกชนนานขึ้น โดยเฉลี่ยมากกว่า 10 ปีก่อนที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งหมายความว่าโอกาสการเติบโตครั้งใหญ่ของธุรกิจจำนวนมากมักเกิดขึ้นในช่วงที่ยังเป็นบริษัทนอกตลาด ในช่วงที่นักลงทุนทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงได้ PE จึงเป็นช่องทางพิเศษที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนมีส่วนร่วมกับการสร้างมูลค่าในช่วงสำคัญของการเติบโตของธุรกิจเหล่านั้น

จากการกู้เงินสู่วินัยการสร้างคุณค่า

สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน โดยเฉพาะดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงและสภาพคล่องที่ตึงตัว ทำให้กลยุทธ์การสร้างผลตอบแทนด้วยการกู้ยืมเงิน (leverage) ไม่เพียงพออีกต่อไป วันนี้ผู้จัดการกองทุน PE ที่ประสบความสำเร็จต้องมุ่งเน้นไปที่ การสร้างคุณค่าจากการดำเนินงานจริง ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน ขยายตลาด หรือยกระดับธรรมาภิบาล ผลลัพธ์คือ บริษัทที่เข้มแข็งขึ้นและมีความยืดหยุ่นมากกว่าในการรับมือกับวิกฤติ

การกระจายความเสี่ยงที่แตกต่าง

อีกหนึ่งความน่าสนใจของ PE คือการช่วยกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนเพราะด้วยความที่ไม่ได้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ราคาจึงไม่ผันผวนไปตามอารมณ์ของนักลงทุนหรือภาวะตลาดมากนัก ในขณะที่หุ้นในตลาดหลักทรัพย์เคลื่อนไหวตามภาวะเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นนักลงทุนจึงมีความผันผวนที่สูงกว่า การลงทุนใน PE อ้างอิงจากศักยภาพของธุรกิจรายบริษัทจริงๆ อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์ (correlation) ที่ต่ำกว่าตลาดหุ้นทั่วไป ส่งผลให้สามารถลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนและยังมีโอกาสเพิ่มผลตอบแทนอีกด้วย

พลิกวิกฤติเป็นโอกาส

น่าสนใจว่าในหลายวิกฤติที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นช่วงฟองสบู่ดอทคอม หรือวิกฤติการเงินโลก กองทุน PE ที่ก่อตั้งในเวลานั้นกลับสร้างผลตอบแทนเหนือกว่าค่าเฉลี่ย เนื่องจากสามารถเข้าลงทุนในมูลค่าที่ถูก และขายออกในช่วงที่ตลาดฟื้นตัว ข้อมูลย้อนหลัง 25 ปีสะท้อนว่า PE มักให้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาดหุ้นในทุกวิกฤติสำคัญ โดยเฉลี่ยมากกว่า 8% สิ่งนี้ตอกย้ำว่า ความผันผวนไม่ได้เป็นเพียงอุปสรรค หากแต่เป็น “โอกาส” ของนักลงทุนที่มีวินัยและมีกระสุนพร้อม

เทรนด์การเปลี่ยนโลกเริ่มที่บริษัทเอกชน

นวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ (AI) การแพทย์ดิจิทัล โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล และการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน มักเริ่มต้นจากบริษัทเอกชนที่ยังไม่ได้เข้าตลาดหลักทรัพย์ PE จึงเป็นประตูให้ผู้ลงทุนได้สัมผัสกับเมกะเทรนด์เหล่านี้ตั้งแต่ระยะต้น ก่อนที่บริษัทเหล่านี้จะกลายเป็นยักษ์ใหญ่ในดัชนีตลาดหลักทรัพย์

อย่างไรก็ตาม ผลตอบแทนของ PE มีความแตกต่างกันมากระหว่างผู้จัดการกองทุน ระหว่างกองทุนที่อยู่ในกลุ่มบนที่สร้างผลตอบแทนได้ดีและกลุ่มที่สร้างผลตอบแทนได้ไม่ดี อาจห่างกันเกิน 20% ดังนั้นการเลือกผู้จัดการกองทุนจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด นอกจากนี้ การกระจายลงทุนไปยังผู้จัดการที่มีความเชี่ยวชาญต่างกัน ยังช่วยลดโอกาสการขาดทุนและเพิ่มโอกาสการสร้างผลตอบแทนที่มั่นคง ท่ามกลางอัตราดอกเบี้ยสูง ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่รวดเร็ว การลงทุนผ่าน PE อาจเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความได้เปรียบระยะยาวให้นักลงทุนมืออาชีพ แต่ในขณะเดียวกัน ผู้ลงทุนก็ต้องยอมรับข้อจำกัดเรื่อง ระยะเวลาลงทุนที่ยาวขึ้น ความเสี่ยงที่สูงกว่า และความจำเป็นในการเลือกกองทุนที่มีคุณภาพจริง

การลงทุนใน PE สะดวกขึ้นด้วย “Evergreen Structure”

ในอดีต การลงทุนใน PE มักจำกัดอยู่ในรูปแบบกองทุนที่มีอายุเฉลี่ย 8-12 ปี นักลงทุนต้องรอจนถึงรอบการขายกิจการ (exit) ถึงจะได้รับเงินทุนและกำไรกลับมา ทำให้หลายคนมองว่าเป็นอุปสรรค เพราะขาดสภาพคล่องและต้องใช้ความอดทนสูงแต่ปัจจุบันมีนวัตกรรมทางการเงินที่เรียกว่า “Evergreen Fund” เข้ามาช่วยแก้ปัญหา กองทุนลักษณะนี้จะเป็นกองทุนเปิดที่ไม่ได้ระบุวันครบอายุที่แน่นอนเหมือนเดิมทำให้นักลงทุนสามารถ เข้าลงทุนและถอนเงินออกได้เป็นระยะ ภายใต้กรอบเวลาที่กำหนด ทำให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นแม้จะไม่ได้สามารถซื้อขายได้ทุกวันก็ตาม แต่ยังคงเข้าถึงการลงทุนในธุรกิจเอกชนที่เติบโตสูง Evergreen Fund ยังช่วยให้ผู้จัดการกองทุนสามารถ ลงทุนต่อเนื่อง (reinvest) ในดีลใหม่ๆ ได้ โดยไม่จำเป็นต้องปิดกองทุนและตั้งกองใหม่เหมือนรูปแบบดั้งเดิม ส่งผลให้กองทุนมีความต่อเนื่องในการสร้างมูลค่า และนักลงทุนสามารถสะสมการลงทุนระยะยาวได้ง่ายขึ้นสำหรับนักลงทุน นี่คือการเปิดประตูให้เข้าถึงสินทรัพย์ที่เคย “exclusive” อย่าง PE ได้ง่ายและคล่องตัวกว่าเดิม โดยไม่จำเป็นต้องล็อกเงินยาวนานเกินไปเหมือนในอดีต

ทั้งนี้ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงและขอคำแนะนำจากผู้แนะนำการลงทุนของท่านเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน ข้อมูลนี้จัดทำโดยอาศัยที่มาจากแหล่งข้อมูลสาธารณะซึ่งปรากฎขณะจัดทำ ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปแต่ละขณะ ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน