2 ฉากทัศน์นายกฯ "คนเดิม-ใหม่” สะเทือน ‘ดัชนีหุ้นไทย’ ระยะสั้น

จับตา “ตลาดหุ้นไทย” คาดผันผวนสั้น “เผ่าภูมิ” ย้ำเศรษฐกิจมีเสถียรภาพ “บล.เอเซีย พลัส” มอง 2 ทางเลือก “นายกฯ คนเดิม” และ “เปลี่ยนนายกฯ เพื่อไทย” ชี้หากยังเป็นตามระบบกฎหมาย เชื่อผลกระทบ “หุ้นไทยจำกัด” และยังมีปัจจัยหนุน ดัชนีขยับขึ้นแตะ 1,300 จุด ได้ “นายกฯ กองทุน” ชี้ปัจจัยแค่ชั่วคราวหุ้นไทยยังลงทุนได้
KEY
POINTS
- ตลาดหุ้นไทยคาดว่าจะผันผวนในระยะสั้น จากความไม่แน่นอนทางการเมืองก่อนศาลรัฐธรรมนูญตัดสินคดีนายกรัฐมนตรี ซึ่งมี 2 ฉากทัศน์หลักคือ "นายกฯ คนเดิม" หรือ "นายกฯ คนใหม่" จากพรรคเพื่อไทย
- บล.เอเซีย พลัส ประเมินว่าหากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเป็นไปตามระบบกฎหมาย ผลกระทบต่อตลาดหุ้นจะจำกัด และเมื่อมีความชัดเจน ดัชนีมีโอกาสขยับขึ้นแตะ 1,300 จุดได้ เนื่องจากงบประมาณปี 2569 ผ่านแล้ว
- บล.ทิสโก้ให้น้ำหนักมากที่สุดกับฉากทัศน์ที่นายกฯ ถูกถอดถอน ซึ่งอาจทำให้ตลาดผันผวนชั่วคราว แต่เชื่อว่าหลังการโหวตเลือกนายกฯ คนใหม่ที่ชัดเจน ตลาดมักจะปรับตัวขึ้นตามสถิติ
- นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่าปัจจัยการเมืองเป็นผลกระทบชั่วคราว และตลาดได้รับรู้ความเสี่ยงไปบ้างแล้ว โดยมองว่าการที่งบประมาณผ่านแล้วเป็นข้อดีที่ช่วยลดแรงกดดันต่อตลาด
- มีมุมมองจาก บล.ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล ว่าจากสถิติในอดีต หากผลตัดสินไม่เป็นใจกับรัฐบาลชุดปัจจุบัน ตลาดหุ้นอาจตอบรับในเชิงบวกจากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง
ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำตัดสิน “คดีคลิปเสียง” ของ “นางสาวแพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี วันที่ 29 ส.ค.2568 โดยแวดวงตลาดทุนอยู่โหมดจับตาคำตัดสินคดีนายกฯ ใกล้ชิดท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองที่อาจสร้าง “แรงกดดัน” ต่อดัชนีหุ้นไทยระยะสั้น
สะท้อนความเคลื่อนไหว “หุ้นไทย” วันที่ 28 ส.ค.2568 ปิดตลาดที่ 1,250.09 จุด ปรับตัวขึ้น 2.06 จุด หรือ 0.17% มูลค่าซื้อขาย 35,798.91 ล้านบาท โดยหุ้นไทยกลับอยู่ในโหมดจับตา “คำตัดสินคดีนายกรัฐมนตรี” อย่างใกล้ชิด ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองที่อาจสร้างแรงกดดันต่อดัชนีระยะสั้นด้วยประเด็นดังกล่าวตลาดได้รับรู้ไปบ้างแล้ว
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ขอไม่คาดการณ์ประเด็นการตัดสิน แต่รัฐบาลมองภาพใหญ่ถึงเสถียรภาพการเมืองว่ารัฐบาลเชื่อมั่นอยู่ครบวาระ ในมุมมองของรัฐบาลไม่มีประเด็นใดกระทบความเชื่อมั่น โดยยืนยันว่าทุกกระทรวง รวมถึงกระทรวงการคลัง มีหน้าที่และมุ่งมั่นดำเนินนโยบายให้สุดปลายทาง และจะเดินหน้าเร่งผลักดันนโยบายตามเป้าหมาย
2 ฉากทัศน์ “นายกฯ เดิม-นายกฯ ใหม่”
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า สถานการณ์การเมืองมีโอกาสเกิด 2 แนวทาง คือ “นายกฯ คนเดิม” หรือ “เปลี่ยนตัว นายกฯ ใหม่”
สำหรับนายกฯ ไม่ว่าเป็นใครเชื่อว่ามาจากพรรคเพื่อไทย แต่สถานการณ์หลังจากนั้นขึ้นกับภาวะแวดล้อมจะกดดันแค่ไหน และคะแนนเสียงปริ่มน้ำของพรรคเพื่อไทยมองว่ามีโอกาสนำไปสู่ “ยุบสภา” ปลายปีนี้หรือต้นปี 2569
ทั้งนี้ การยุบสภาจะเกิดช่วงใดเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อตลาดหุ้น ทว่าหากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหลังวันที่ 29 ส.ค.68 นี้ ยังเป็นไปตามระบบไม่นำไปสู่ทางตัน คาดว่าผลกระทบต่อ “ตลาดหุ้นไทยจำกัด” เพราะมองไปข้างหน้าเห็นว่าการเมืองในประเทศชัดขึ้น และงบประมาณปี 2569 ผ่านรัฐสภาแล้ว ดังนั้น คลายแรงกดดันน่าจะเร่งเบิกจ่ายภาครัฐทันไตรมาส 4 ปีนี้
รวมถึงราคาหุ้นยังน่าสน และระยะถัดไปลดดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งช่วยหนุนเม็ดเงินต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) มาเสริมสภาพคล่องตลาดหุ้น โดยมีโอกาสดัชนีหุ้นไทยขยับแตะระดับ 1,300 จุด และยืนระยะได้หากไม่มีปัจจัยเสี่ยงเพิ่ม
“หากการเปลี่ยนแปลงการเมืองเป็นไปตามระบบ ตลาดหุ้นไทยไม่ควรตื่นเต้น และคดีการเมืองชัดเจนขึ้น มองไปข้างหน้าชัดขึ้นเช่นกัน เป็นผลบวกต่อเซนทิเมนต์ตลาดในช่วงจุดรอยต่อที่นักลงทุนกล้าๆ กลัวๆ แนะนักลงทุน เน้นเลือกหุ้นที่ยังเติบโตตามแนวโน้มเศรษฐกิจไทย ธีมหุ้นได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลงอย่างกลุ่มนอนแบงก์ และอสังหาฯ และหุ้นจ่ายปันผลสูง”
ประเมินฉากทัศน์การตัดสินไว้ 3 ทางเลือก
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ตลาดหุ้นกำลังรอคำตัดสินคดีนายกรัฐมนตรีใกล้ชิด โดยประเมิน 3 ฉากทัศน์ที่เป็นไปได้
1.นายกรัฐมนตรีลาออก ซึ่งโอกาสเกิดค่อนข้างน้อยเพราะหากจะตัดสินใจลาออกควรดำเนินการก่อนหน้านี้แล้ว
2.ศาลยกคำร้อง ซึ่งมีน้ำหนักค่อนข้างปานกลางหากเกิดขึ้น นายกรัฐมนตรีจะมีคุณสมบัติครบถ้วนและปฏิบัติหน้าที่ต่อได้
3.คำตัดสินเป็นลบต่อนายกรัฐมนตรี หรือโดนถอดถอน ซึ่งให้น้ำหนักมากที่สุด และถือเป็นกรณีฐาน ซึ่งจะทำให้คณะรัฐมนตรีทั้งคณะพ้นตำแหน่ง และนำไปสู่การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ในเดือนหน้า (ก.ย.2568)
ทั้งนี้ หากเกิดฉากทัศน์ที่ 3 ตลาดหุ้นอาจผันผวนระยะสั้นจากความไม่แน่นอนการเมืองและสุญญากาศทางอำนาจ โดยต่างชาติอาจไม่เข้าใจสถานการณ์ชัดเจนจึงกระทบความเชื่อมั่นชั่วคราว
อย่างไรก็ตาม หลังการเมืองได้ข้อสรุปและชัดเจนเรื่องนายกรัฐมนตรีใหม่ ตลาดหุ้นมักปรับตัวขึ้นตามสถิติ โดยกรอบดัชนีตลาดหุ้นแนวรับระยะสั้น 1,230 จุดดาวน์ไซด์สูงสุด 1,200 จุด หากการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีมีอุปสรรค ขณะที่อัปไซด์ด้านบนยังไม่น่าทะลุ 1,300 จุด ระยะนี้
สำหรับคำแนะนำการลงทุนควรถือเงินสดบางส่วนไว้รอความชัดเจนคำตัดสิน หากตลาดผันผวนจากผลลบ ควรมองเป็นจังหวะเข้าลงทุน เพราะท้ายที่สุดแล้วต้องตั้งรัฐบาล และนายกรัฐมนตรีใหม่ ซึ่งตลาดมักตอบรับเชิงบวกหลังมีความชัดเจน โดยกลยุทธ์หลักรอซื้อเมื่อผันผวน และถือไปจนถึงการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่
นายก บลจ.ชี้การเมืองกระทบชั่วคราว
นางสาวชวินดา หาญรัตนกูล นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) และกรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTAM กล่าวว่า ปัจจัยการเมืองในประเทศ และสงครามชายแดนไทย-กัมพูชา มองเป็นปัจจัยกระทบชั่วคราว และแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงในปี 2568
ดังนั้น มองว่าตลาดหุ้นไทยยังเป็นตลาด “ลงทุนได้” ซึ่งกองทุนใช้กลยุทธ์สลับเปลี่ยนการลงทุน ทั้งขายทำกำไรเมื่อตลาดปรับขึ้น และเข้าซื้อเมื่อตลาดปรับลง เน้นสลับเปลี่ยนกลุ่มหุ้นยังให้ปันผลสูง และมีผลดำเนินงานเติบโตตามวัฏจักรเศรษฐกิจ เฝ้าระวังหุ้นกลุ่มส่งออก
ประเด็นการเมืองตลาดตอบรับไปบ้างแล้ว
นายภราดร เตียรณปราโมทย์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ประเด็นการเมืองตลาดรับรู้ระดับหนึ่ง แต่ยังมีทางออกว่าจะยุบสภาหรือลาออก แต่จะมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่เข้ามาทดแทนได้
ทั้งนี้ ข้อดี คือ ทางออกไม่ว่าจะอยู่ต่อ ยุบสภา หรือให้นายกฯ คนใหม่เข้ามา ที่สำคัญคือ งบประมาณผ่านแล้ว ดังนั้นการดำเนินงานของนโยบายการคลังยังมีโอกาสต่อเนื่อง และเชื่อว่าผลกระทบกับแรงกดดันจากประเด็นการเมืองจะไม่กระทบรุนแรงต่อตลาดเหมือนที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้กังวลมากกว่าว่าประเทศจะไม่มีทางออก และไม่มีเงินสนับสนุนนโยบาย รวมถึงกังวลว่างบประมาณจะไม่ผ่าน และทำให้แรงกดดันจากประเด็นดังกล่าวไม่ส่งผลมากต่อตลาด
“ประเด็นการเมืองตลาดน่าจะตอบรับบ้างแล้ว และมีทางออกให้เห็นว่าเดินหน้าต่อได้ แต่ทว่าในมุมดัชนียังมีความเสี่ยงระยะสั้น แต่คาดว่าจะย่อตัวลงไม่มาก โดยแนวรับของดัชนีสำคัญอยู่กรอบล่างที่ 1,230 จุด ซึ่งจะแข็งแกร่ง และไม่น่าจะหลุด แต่ทว่าเกิดความผิดปกติขึ้นมา แนวรับถัดไป 1,200 จุด ส่วนกรอบด้านบน แนวต้านที่ 1,280 จุด”
สำหรับหุ้นที่น่าสนใจ และได้อานิสงส์จากงบประมาณรัฐเป็นหุ้นกลุ่มรับเหมา ได้แก่ CK ส่วนหุ้นใหญ่พื้นฐานดีหาก Fund Flow ไหลเข้าต่อเนื่อง และหากตลาดสหรัฐเผชิญแรงกดดันมากขึ้น อาจทำให้เม็ดเงินไหลเข้าตลาดเอเชีย โดยเฉพาะไทยที่ Outperform ตลาดโลก มีโอกาสที่ MSCI หรือ FTSE จะเพิ่มน้ำหนักลงทุนแนะนำ BDMS SCC
หุ้นมีโอกาสปรับขึ้น นักลงทุนอยากเห็นเปลี่ยนแปลง
นายกรรณ์ หทัยศรัทธา หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน และ นักเศรษฐศาสตร์ สายงานวิจัย บล.ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) กล่าวว่า หากผลของคดีออกมาในลักษณะรัฐบาลชุดปัจจุบันไม่ได้ไปต่อ และอาจเปลี่ยนเป็น “นายชัยเกษม นิติสิริ” แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทยดัชนีหุ้นไทยจะไม่ปรับตัวลง
ทั้งนี้ จากสถิติในอดีตมีแนวโน้มหุ้นอาจปรับตัวขึ้น เพราะจากสถิติที่ผ่านมาทั้งยุคอดีตนายกฯ “เศรษฐา ทวีสิน” และนายกฯ “แพทองธาร ชินวัตร” ส่วนใหญ่ตลาดหุ้นมักตอบรับเชิงบวกเมื่อผลลัพธ์ทางการเมืองไม่เป็นใจกับรัฐบาลชุดปัจจุบัน
โดยอาจมี “แรงซื้อจากต่างชาติ” เหตุผลเบื้องหลังอาจเป็นเพราะโฟลด์ของนักลงทุนต่างชาติอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ใช่การเมืองชุดปัจจุบัน ดังนั้น เมื่อมีเหตุการณ์ทางการเมืองที่ไม่เป็นใจกับรัฐบาล หุ้นมักขึ้นและโฟลด์ต่างชาติมักจะเข้าซื้อในวันนั้น
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนหากดัชนีหุ้นไทยลงมาแตะแนวรับที่ 1,220 จุด แนะนำให้พิจารณาซื้อ ได้แก่ MOSHI PTT SCB KTB ซึ่งหุ้นดังกล่าวมีความหลากหลายในแง่กลุ่มอุตสาหกรรมที่ช่วยกระจายความเสี่ยงในการลงทุนได้
“ปัจจัยภายในประเทศเรื่องการเมือง โดยเฉพาะคำตัดสินของศาลเกี่ยวกับคลิปเสียงช่วงปลายสัปดาห์นี้ จากสถิติ และข้อมูลล่าสุดชี้ให้เห็นว่า หากผลลัพธ์ออกมาไม่เป็นใจกับรัฐบาลชุดปัจจุบัน ตลาดหุ้นส่วนใหญ่จะตอบรับเชิงบวกระยะสั้นเท่านั้น”
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







