จับตา 2 คดีเปลี่ยนฉากการเมืองไทย หุ้นไทยไปต่อแค่ไหน?

บล.เอเซีย พลัส เผยว่า ปลายเดือนสิงหาคม 2568 ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญทางการเมืองจาก 2 คดีของตระกูลชินวัตร คือ คดี ม.112 ของนายทักษิณ และคดีคลิปเสียงของนางสาวแพทองธาร ซึ่งอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง เช่น การยุบพรรคหรือยุบสภา จากสถิติในอดีต พบว่า หลังมีคำตัดสินของศาลเกี่ยวกับผู้นำทางการเมือง ดัชนีหุ้นไทย (SET INDEX) มักปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 10.3% ภายใน 2 เดือน
KEY
POINTS
- ปลายเดือนสิงหาคม 2568 ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญทางการเมืองจาก 2 คดีของตระกูลชินวัตร คือ คดี ม.112 ของนายทักษิณ และคดีคลิปเสียงของนางสาวแพทองธาร ซึ่งอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง เช่น การยุบพรรคหรือยุบสภา
- จากสถิติในอดีตที่วิเคราะห์โดย บล.เอเซีย พลัส พบว่าหลังมีคำตัดสินของศาลเกี่ยวกับผู้นำทางการเมือง ดัชนีหุ้นไทย (SET INDEX) มักปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 10.3% ภายใน 2 เดือน
- กลุ่มอุตสาหกรรมที่มักให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาด (OUTPERFORM) หลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ได้แก่ กลุ่มการเงิน (FIN), อิเล็กทรอนิกส์ (ETRON), สื่อ (MEDIA), ก่อสร้าง (CONS), พาณิชย์ (COMM), อสังหาริมทรัพย์ (PROP) และเทคโนโลยีสารสนเทศ (ICT)
บล.เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า วานนี้ศาลรัฐธรรมนูญ นัดไต่สวน "คดีคลิปเสียง" ของ "แพทองธาร ชินวัตร" กับ "ฮุน เซน" ซึ่งกระบวนการจะไปสิ้นสุด ณ 29 ส.ค. 68 รอฟังคำวินิจฉัยและประกาศผลโดยศาลรัฐธรรมนูญ ส่วน 22 ส.ค.2568 ศาลอาญา นัดฟังคำพิพากษา "คดีมาตรา 112" กรณีกล่าวหา "ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกฯ หลังให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลีใต้เมื่อปี 2558 ซึ่งกล่าวได้ว่า ปลายเดือนสิงหาคม 2568 เป็น “โค้งชี้ชะตาทางการเมืองและคดีความ” ของทั้งพ่อ-ลูกตระกูลชินวัตร และอาจเห็นความเสี่ยงการยุบพรรค-ยุบสภา และทำให้กระบวนการทางการเมืองชัดเจนขึ้นไปอีกระดับ
โดยสถิติหุ้นมักค่อยๆ ขึ้น หลังเหตุการณ์ศาลตัดสินผู้นำ โดยหลังศาลตัดสินผู้นำ SET INDEX มักขึ้นแรงเฉลี่ยระดับ 10.3% ใน 2 เดือนหลังจากนั้น(ทั้งตอนคุฯพิธา และคุณเศรษฐา) ดังรูปด้านล่าง
ซึ่งผลตอบแทนเฉลี่ยราย SECTOR หลังศาลตัดสินผู้นำปี 2023 และ 2024 ที่เป็นกลุ่ม OUTPERFORM SET คือ กลุ่ม FIN (JMT SAWAD MTC KTC) ETRON (CCET HANA DELTA KCE) MEDIA (PLANB) CONS (CK) COMM (CRC CPALL) PROP (AP SPALI AMATA WHA) ICT (TRUE ADVANC) เป็นต้น







