เศรษฐกิจโลกชะลอ น้ำมันทรง-ก๊าซอ่อนตัว โบรกเผย กลุ่มปตท.ครึ่งหลัง ผลงานยังไม่เด่น แต่ปันผลสูง

อุตสาหกรรมพลังงานและปิโตรเคมียังคงเผชิญความไม่แน่นอน โดยเฉพาะในครึ่งปีหลังของปี 2568 ราคาน้ำมันโลกมีแนวโน้มทรงตัวภายใต้แรงกดดันจาก OPEC+ ที่ทยอยเพิ่มกำลังการผลิต และบรรยากาศภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังต้องติดตามหลังประธานาธิบดี โดนัล ทรัมป์ เดินหน้าเจรจารัสเซียและยูเครน ขณะที่เศรษฐกิจโลกยังถูกกดดันจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ทำให้ราคาก๊าซและปิโตรเคมีอยู่ในทิศทางอ่อนตัว

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์มองว่า ผลประกอบการของกลุ่มปตท. อาจจะไม่โดดเด่นมากนัก แต่ทว่าอาจจะมีการฟื้นตัวได้บ้างเล็กน้อยในหุ้นบางตัวเท่านั้น แต่ขณะเดียวกัน ในกลุ่มปตท.ยังมีบางตัวที่สามารถจ่ายปันผลได้สูงและเป็นที่น่าสนใจของนักลงทุน

วิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ลิเบอเรเตอร์ ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ภาพรวมของกลุ่ม ปตท.ช่วงครึ่งหลังผลการดำเนินงานโดยรวมอาจไม่โดดเด่นมากนักเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก แต่ยังคงมีโอกาสในการลงทุนสำหรับนักลงทุนที่มองหาผลตอบแทนจากเงินปันผล และโอกาสในการเก็งกำไรในหลักทรัพย์บางตัว

โดยกลุ่ม ปตท. ครึ่งปีหลัง ราคาน้ำมันค่อนข้างทรงตัวและไม่ขยับไปไหนมากนัก เนื่องจากราคาน้ำมันโลกยังคงอ่อนตัวและไม่ได้มีแรงหนุนมาก รวมถึงปัจจัยกดดันมาจาก OPEC+ ที่ค่อย ๆ เพิ่มกำลังการผลิต ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ก็ไม่ได้เป็นตัวเร่งให้ราคาน้ำมันไปไกลนัก เนื่องจากประธานาธิบดี ทรัมป์ เดินหน้าเจรจาในหลายจุด เช่น รัสเซียและยูเครน หากไม่มีเหตุการณ์ที่ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นราคาน้ำมันก็ไม่น่าจะไปไกล

ขณะที่เศรษฐกิจโลกยังคงได้รับผลกระทบจากปัญหาภาษีของทรัมป์ ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจไม่สดใสมากนัก ราคาก๊าซยังคงปรับฐานลง ส่งผลให้ผลการดำเนินงานโดยรวม Performance ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนักและไม่โดดเด่น ขณะที่ราคาหุ้นยังคง Underperform หรืออยู่ในโซนล่าง ซึ่งถือเป็นข้อดีคือ ไม่ได้ถูกไล่ราคาขึ้นไปมากแล้ว

อย่างไรก็ดี กลุ่ม ปตท.มีการจ่ายปันผลสูง โดยเฉพาะกระทรวงการคลังถือหุ้นจำนวนมาก ทำให้เป็นหุ้นปันผลที่โดดเด่น ซึ่งนักลงทุนอาจถือหุ้นกลุ่มดังกล่าวเพื่อรับปันผลมากกว่าการเก็งกำไรราคาหุ้นที่จะพุ่งขึ้นสูงมาก หรืออาจเก็งกำไรตามเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น

สำหรับ TOP ส่วนต่างราคา หรือSpread ของผลิตภัณฑ์หลัก เช่น ดีเซลและน้ำมันเครื่องบิน เริ่มอยู่ในเกณฑ์ที่ดีขึ้น ส่วนปัญหาที่ค้างคาอยู่กับโครงการ CFP น่าจะค่อย ๆ ปลดล็อกมากขึ้นในครึ่งปีหลังแนะนำให้ทยอยซื้อสะสมเมื่อราคาอ่อนตัว

ส่วน PTTGC ที่ผ่านมาได้รับผลกระทบหนัก โดยเฉพาะจากการลงทุนในต่างประเทศที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ แต่ทว่าบริษัทได้เริ่มตัดขายธุรกิจที่ไม่ค่อยทำกำไรออกไปในระดับหนึ่งแล้ว ทำให้ภาพรวมน่าสนใจมากขึ้น และมีการตั้งด้อยค่าสินทรัพย์ไว้เยอะ ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีมีความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจจีน ซึ่งแม้จะยังไม่ดีนักแต่ก็มีการกระตุ้นเศรษฐกิจเข้ามาเป็นระลอก และ Valuationอยู่ในระดับที่ต่ำมาก ทำให้เหมาะสำหรับการเทรดดิ้ง อย่างไรก็ตาม IRPC ยังไม่แนะนำ เนื่องจากมีผลขาดทุนค่อนข้างมากและไม่คุ้มทุน ซึ่งถูกมองว่าเป็นหุ้นที่ยากที่จะฟื้นตัว

จักรพงศ์ เชวงศรี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ความกังวลจากสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน มีผลกระทบต่อราคาน้ำมัน โดยเฉพาะหากมีการเจรจาสันติภาพที่ทำให้อัตราพรีเมียมจากความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ ในราคาน้ำมันหายไป ซึ่งส่งผลให้ราคาน้ำมันอ่อนตัวลงจากที่เคยขึ้นไปถึง 70 เหรียญต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ประมาณ 65-66 เหรียญต่อบาร์เรล

อย่างไรก็ตาม หากยูเครนไม่ยอมเสียดินแดน สถานการณ์ก็อาจไม่จบลงง่ายๆ และราคาน้ำมันพร้อมที่จะดีดกลับได้เสมอ ส่วนสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน ถูกมองว่าเป็นสงครามตัวแทน ซึ่งผลกระทบจะขึ้นอยู่กับจังหวะและโอกาส

สำหรับนักลงทุนในกลุ่ม ปตท.ควรเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากราคาหุ้นในกลุ่มหลายตัว เช่น PTTGC และ TOP ได้ปรับตัวขึ้นมามากแล้ว และการปรับตัวดีขึ้นของผลประกอบการส่วนใหญ่มาจากรายการพิเศษและการลดต้นทุน ไม่ใช่จากการปรับตัวดีขึ้นของวัฏจักรอุตสาหกรรมอย่างมีนัยสำคัญ

ขณะที่ในกลุ่มปตท. มีเพียง 2 ตัวที่น่าสนใจ เนื่องจากจ่ายเงินปันผลได้สูงคือ PTT ซึ่งให้ผลตอบแทนประมาณ 7% และ PTTEP แม้ราคาน้ำมันจะลดลง แต่ผลการดำเนินงานยังคงอยู่ที่ประมาณ 60,000 ล้านบาท ทำให้มีอำนาจในการจ่ายเงินปันผลในระดับสูงที่ 8-8.50 บาท ซึ่งส่งผ่านไปที่ ปตท.

นักวิเคราะห์ บล.กรุงศรี กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลังธุรกิจโรงกลั่นของกลุ่มปตท.มีแนวโน้มฟื้นตัวได้เล็กน้อย เนื่องจากซัพพลายน้ำมันตึงตัวขึ้นจากการทยอยปิดโรงกลั่นในสหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งจะหนุนค่าการกลั่น อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวจะถูกทอนด้วย ค่าพรีเมียมน้ำมันดิบที่สูงขึ้น โดยเฉพาะน้ำมันจากตะวันออกกลาง สาเหตุจากมาตรการคว่ำบาตรน้ำมันรัสเซีย ทำให้จีนและอินเดียหันไปซื้อน้ำมันดิบจากตะวันออกกลางมากขึ้น ส่งผลให้ซัพพลายตึงตัวและราคาพรีเมียมสูงขึ้น ดังนั้น การฟื้นตัวส่วนใหญ่จะมาจาก การมีสต็อกลอสน้อยลง เป็นหลัก

ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมีคาดว่าจะมีการลดกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง ทำให้ภาวะซัพพลายเริ่มตึงตัว และส่งผลให้ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ฟื้นตัวได้ อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถกลับไปสู่ระดับปกติได้ เพราะเป็นเพียงการฟื้นตัวจากฐานที่ต่ำ

ส่วนธุรกิจสถานีบริการคาดว่าจะไม่ใช่ตัวขับเคลื่อนหลักในครึ่งปีหลัง เนื่องจากเข้าสู่ช่วงฤดูฝน ซึ่งความต้องการใช้น้ำมันมักจะลดลง ส่งผลกระทบต่อค่าการตลาดและปริมาณการขาย

นอกจากนี้ ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม มองว่าราคาน้ำมันดิบในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มอ่อนตัวลง เนื่องจากอุปทานจากกลุ่ม OPEC+ ที่เพิ่มขึ้น กำไร PTTEP จึงน่าจะทรงตัว แต่ปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นจะเข้ามาชดเชยราคาขายที่ลดลงได้ จึงไม่ใช่ปัจจัยขับเคลื่อนหลักในการฟื้นตัวของกลุ่ม

และธุรกิจก๊าซราคาหน้าโรงแยกก๊าซที่ลดลงในครึ่งปีหลัง ทำให้อัตรากำไรของโรงแยกก๊าซฟื้นตัวได้ ซึ่งจะหนุนให้กำไรของ PTT ฟื้นตัวในครึ่งปีหลังเช่นกัน แต่การฟื้นตัวไม่ได้เป็นส่วนสำคัญเทียบเท่ากับการที่ไม่มีสต็อกลอสเกือบหมื่นล้านบาทเข้ามาในครึ่งปีหลัง

สำหรับคำแนะนำ หากแยกเป็นรายตัว PTT TOP IRPC คำแนะนำเป็นกลาง PTTEP แนะนำ ซื้อ บนปัจจัยเรื่องความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดได้อย่างต่อเนื่อง TOP และ PTTGC แนะนำซื้อเช่นกัน นำเป็นกลาง