‘กูรู’ ยกหุ้นเวียดนาม ‘ดาวรุ่งเอเชีย’ จ่ออัปเกรดระดับสู่ ‘ตลาดหุ้นเกิดใหม่’

หุ้นเวียดนามมีการซื้อขายสูงเป็นอันดับหนึ่งในอาเซียน แซงหน้าตลาดหุ้นไทย และมีจำนวนนักลงทุนรายย่อยในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกิน 10 ล้านคน ยกระดับสู่ Emerging Market คาดดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากสถาบันต่างชาติมหาศาลถึง 9,000 ล้านดอลลาร์ ปัจจัยสำคัญที่สร้างแรงเก็งกำไรในตลาด
KEY
POINTS
- ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ชี้ว่าหุ้นเวียดนามเป็น "ดาวรุ่ง" ด้วยปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ทั้งการได้เปรียบจากดีลการค้า ค่าเงินอ่อน การลงทุนจากต่างชาติที่มหาศาล และการเมืองที่ราบรื่น
- เวียดนามมีโอกาสได้รับการอัปเกรดสถานะจากตลาดชายขอบ (Frontier Market) เป็นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) โดยคาดว่าจะได้รับการพิจารณาจาก FTSE ในเดือนต.ค. นี้ และ MSCI ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า
- การยกระดับสู่ Emerging Market คาดว่าจะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากสถาบันต่างชาติมหาศาลถึง 3,000-9,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างแรงเก็งกำไรในตลาด
- ตลาดหุ้นเวียดนามมีปริมาณการซื้อขายสูงเป็นอันดับหนึ่งในอาเซียน แซงหน้าตลาดหุ้นไทย และมีจำนวนนักลงทุนรายย่อยในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกิน 10 ล้านคน
- อย่างไรก็ตาม กูรูเตือนถึงความเสี่ยงจากตลาดที่ "ร้อนแรงเกินไป" และมีการใช้มาร์จินในระดับที่สูงมากเป็นประวัติการณ์ ซึ่งอาจนำไปสู่การบังคับขาย (Force Sell) ครั้งใหญ่หากตลาดผันผวน
“ตลาดหุ้นเวียดนาม” กลับมา “ร้อนแรง” อีกครั้ง ! ในช่วงครึ่งแรกปี 2568 ด้วยแรงหนุนจากปัจจัยบวกหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นสถานะ “ดาวรุ่ง” แห่งตลาดเกิดใหม่ หรือ Emerging Market ที่ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ...
“ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร” นักลงทุนเน้นคุณค่า หรือ “วีไอ” ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า หุ้นเวียดนามได้รับแรงหนุนจากปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง ซึ่งที่ผ่านมาเวียดนามได้เปรียบจาก “ดีลการค้า” ที่ใช้ได้ และอาจส่งออกไปสหรัฐได้มากขึ้น เนื่องจากคู่แข่งหลักอย่าง “อินเดีย และจีน” มีปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ ขณะที่ไทยแม้จะได้อัตราภาษีดีกว่าเวียดนาม 1% แต่ “เงินบาทแข็งค่า” เมื่อเทียบกับค่าเงินเวียดนามที่อ่อนค่าลง ประมาณ 7-8% ตั้งแต่ต้นปี และนี่ยิ่งตอกย้ำทำให้เวียดนามได้เปรียบอย่างมาก
ทั้งนี้ การเติบโตทางเศรษฐกิจเวียดนามมีการลงทุนต่างประเทศมโหฬาร และการลงทุนในประเทศก็ทำสถิติ All-Time High บริษัทที่ไปลงทุนกลับเร่งลงทุนมากขึ้นซึ่งเวียดนามตั้งเป้าเติบโต “จีดีพี” ที่ 8% ขึ้นไปในปีนี้ ที่ผ่านมาก็เติบโตกว่า 7% ขณะที่ท่องเที่ยวเติบโตอย่างมาก โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่ไปเวียดนามมากกว่าไทย ซึ่งทั้งลงทุน และท่องเที่ยวล้วนเป็นตัวสนับสนุนเศรษฐกิจให้เติบโต
นอกจากนี้ การเมืองภายในประเทศราบรื่นมาก รัฐบาลสามารถจัดการทุกอย่างได้ ขณะที่ตลาดหุ้นเวียดนามค่าพี/อีไม่สูง ยังถือว่าต่ำเมื่อเทียบตลาดหุ้นไทย ทำให้ราคาหุ้นไม่แพง กำไรของบริษัทจดทะเบียนดีขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะสถาบันการเงินที่เคยมีปัญหาหนี้เสียก็ดีขึ้น อีกทั้งปริมาณการซื้อขายอย่างมหาศาลตอนนี้สูงกว่าไทยแล้ว และเป็นอันดับหนึ่งใน “อาเซียน” วอลุ่มประมาณ 40,000-50,000 ล้านบาทต่อวัน และบางวันเกือบ “แสนล้านบาท” และจำนวนนักลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างมากเกิน 10 ล้านคนแล้ว และเพิ่มขึ้นเดือนละเป็นแสนคน
“เวียดนามมีโอกาสในการได้รับการอัปเกรดสถานะตลาดหุ้นจากตลาดชายขอบเป็นตลาดเกิดใหม่โดยคาดว่าจะได้จาก FTSE ในรอบแรก และคาดหวังจะได้จาก MSCI ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า ซึ่งจะดึงดูดนักลงทุนสถาบันต่างชาติขนาดใหญ่เข้ามาลงทุนมหาศาล จากสถิติผลตอบแทนที่ดีของหุ้นเวียดนามตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ดัชนีขาดทุนเพียง 2 ปี จาก 10 ปีย้อนหลัง และอีก 8 ปีที่เหลือทำกำไรตลอด”
อย่างไรก็ตามปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระมัดระวังคือ ตลาดหุ้นเวียดนามปัจจุบัน “ร้อนเกินไป” และมีการใช้ “มาร์จินมหาศาล” ซึ่งมากกว่าไทยมาก และคาดว่าเป็นสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์ของเวียดนาม ซึ่งบริษัทหลักทรัพย์ให้มาร์จินเต็มวงเงิน ทำให้หุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ของเวียดนามราคาพุ่งสูงมาก ทำให้มีความเสี่ยงหากตลาดหุ้นโลกมีปัญหาหรือเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด ราคาหุ้นตกลงอาจนำไปสู่การ “Force Sell” ครั้งใหญ่ ซึ่งจะส่งผลกระทบรุนแรง
“ชยนนท์ รักกาญจนันท์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน (บลน.) ฟินโนมีนา กล่าวว่า หุ้นเวียดนามกำลังได้รับความสนใจอย่างมาก หลังจากที่ดัชนีปรับพุ่งขึ้นมาต่อเนื่อง การพุ่งขึ้นในรอบนี้เป็นการ “กระจุกตัว” อยู่ในหุ้นกลุ่ม VinGroup ประมาณ 3-4 ตัว ที่ลากดัชนีให้สูงขึ้นมา ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ประมาณ 50,000-60,000 ล้านบาท ซึ่งบางวันสูงกว่าตลาดหลักทรัพย์ไทยด้วยซ้ำ
“ส่วนใหญ่นักลงทุนที่เข้ามาซื้อขายในตลาดหุ้นเวียดนามขณะนี้เป็น นักลงทุนรายย่อยในประเทศ อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เดือนเม.ย.เป็นต้นมา เริ่มเห็นสัญญาณการซื้อจากนักลงทุนต่างชาติเข้ามาบ้างแล้ว”
นอกจากนี้ โอกาสจากการยกระดับสู่ Emerging Market หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่คาดว่าจะเป็นแรงหนุนให้ตลาดหุ้นเวียดนามคือ การพิจารณาปรับสถานะเวียดนามจาก Frontier Market ให้เป็น Emerging Market โดยดัชนี FTSE Russell ในเดือน ต.ค.นี้ หาก FTSE ปรับสถานะได้ คาดว่าดัชนี MSCI น่าจะตามมาติดๆ ด้วย
ทั้งนี้ การยกระดับสู่ Emerging Market มีนัยสำคัญอย่างมาก เพราะจะส่งผลให้น้ำหนักของเวียดนามในดัชนี Emerging Market ทั้งหมด ต้องถูกซื้อโดยนักลงทุนสถาบันต่างชาติอย่างน้อยประมาณ 0.3-0.4% ซึ่งคาดการณ์ว่าอาจมีเงินทุนไหลเข้าสู่ตลาดเวียดนามสูงถึง 3,000-9,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นจำนวนที่มหาศาล นี่จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่น่าจะเป็นแรงเก็งกำไรในตลาด
“วิศกรณ์ คีรีวรรณ” , CFA นักกลยุทธ์การลงทุน บล.กสิกรไทย กล่าวว่า หากมองในมุมของนักลงทุนไทยที่ลงทุนในเวียดนาม สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มหลัก กลุ่มที่ 1 ซื้อหุ้นโดยตรง นักลงทุนกลุ่มนี้ไม่ได้รับผลกระทบในทางลบจากตลาดที่ปรับตัวขึ้น เนื่องจากสามารถเลือกหุ้นได้โดยตรง กลุ่มที่ 2 ซื้อกองทุนรวมเวียดนาม นักลงทุนกลุ่มนี้อาจเผชิญความลำบากเล็กน้อย เนื่องจากหุ้นที่ปรับตัวขึ้นในเวียดนามส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดกลางและเล็ก ไม่ใช่หุ้นขนาดใหญ่ ทำให้กองทุนรวมบางกองทุนอาจไม่ได้ให้ผลตอบแทนที่ดีเหมือนการลงทุนโดยตรง และกลุ่มที่ 3 ลงทุนผ่าน DR นักลงทุนกลุ่มนี้ได้รับประโยชน์โดยตรงจากการปรับตัวขึ้นของตลาดเวียดนาม เนื่องจาก DR ปรับตัวขึ้นตามราคาหุ้นอ้างอิง
ทั้งนี้ แม้ตลาดจะมีการปรับตัวขึ้น แต่มูลค่าไม่น่าสนใจเท่าเดิม ซึ่งเมื่อประมาณ 1-2 เดือนที่แล้ว เวียดนามเคยมีมูลค่าใกล้เคียงกับไทย แต่ปัจจุบันพีอี 5 ปี ของเวียดนามซื้อขายกันที่ค่าเฉลี่ยหรือสูงกว่าค่าเฉลี่ยเล็กน้อย ทำให้ดูไม่น่าสนใจเท่าเมื่อก่อน
ขณะที่เวียดนามได้เปรียบไทยเรื่องภาษีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และเนื้อหาการขึ้นภาษีแบบกำหนดรายอุตสาหกรรม รวมถึงประเด็นการส่งต่อสินค้า ก็คล้ายคลึงกันมาก ซึ่งฐานการผลิตหลักในเวียดนามส่วนใหญ่มาจากจีน ยุโรป และญี่ปุ่น ทำให้มีข้อสังเกตว่า การนำเข้าจากจีน และส่งออกไปสหรัฐ จากเวียดนามมีความสัมพันธ์กันอย่างมาก ซึ่งหมายความว่ารายได้จากการรับจ้างผลิตที่เคยนำเข้าจากจีนเพื่อแปรรูป และส่งออกไปยังอเมริกาอาจหายไป จึงเป็นส่วนหนึ่งของ GDP ของเวียดนาม
“หลังการพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งของหุ้นเวียดนาม มีหลายปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ แม้การเติบโตที่ดีในครึ่งแรกเกิดจากที่ทุกฝ่ายเร่งนำเข้าสินค้าก่อนการขึ้นภาษี แต่ช่วงครึ่งปีหลังการนำเข้าอาจไม่ดีเท่าเดิม จากการตุนสินค้าไปแล้ว หากจีนถูกเก็บภาษี 40% การผลิตของจีนที่อยู่ในเวียดนามอาจไม่คุ้มค่า ทำให้ปริมาณการผลิตลดลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเวียดนามที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก”
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







