นักลงทุนไทยยก ปัจจัย "ข่าว-ราคาหุ้น" ผลต่อ "Fear and Greed"

นักลงทุนไทยยก ปัจจัย "ข่าว-ราคาหุ้น" ผลต่อ "Fear and Greed"

การเคลื่อนไหวราคาหุ้นมักสะท้อนทั้งปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจและอารมณ์ของผู้ลงทุน ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญที่อาจถูกมองข้าม เมื่อเกิดภาวะที่ราคาหุ้นปรับตัวไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน 

       

      หลายๆ เหตุการณ์ นักลงทุนอาจมีความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจและการลงทุน โดยที่ปัจจัยพื้นฐานก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ 

       ฝ่ายวิจัย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้นำข้อมูลมาวัดอารมณ์ของผู้ลงทุนในตลาดหุ้น ซึ่งสามารถทำได้หลากหลายวิธี รวมถึงดัชนีที่สร้างจากหลายตัวชี้วัด "Fear and Greed Index" สร้างจากตัวชี้วัดแบบ Market-Based Approach รวบรวมข้อมูลที่สะท้อนอารมณ์ของตลาดในภาพรวม ทำให้สามารถบ่งชี้ภาวะความกลัว (Fear) และความโลภ (Greed) ที่มีอิทธิพลต่อการกำหนดราคาหลักทรัพย์

         

     Fear and Greed Index ยังถูกนำไปใช้ในงานวิจัยที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างอารมณ์ตลาดกับพฤติกรรมของนักลงทุน  การสื่อสารและการตลาดเชิงการเงิน สื่อการเงินและที่ปรึกษาการลงทุนยังใช้ดัชนีนี้เป็นเครื่องมือในการให้ความรู้แก่นักลงทุนทั่วไปให้เข้าใจอารมณ์ตลาดและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อพอร์ตการลงทุนของพวกเขา และงานวิจัยหลายชิ้นใช้ Fear and Greed Index เพื่อศึกษาผลกระทบของอารมณ์ตลาดต่อการกำหนดราคาหลักทรัพย์และพฤติกรรมของผู้ลงทุน โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ตลาดเกิดความผันผวนอย่างรุนแรง

     Fear and Greed Index ถูกออกแบบมาเพื่อวัดอารมณ์ของนักลงทุน โดยการรวบรวมข้อมูลจากหลายมิติของตลาดการเงินและนำมาวิเคราะห์รวมกันเป็นค่าดัชนีเดียว ตั้งแต่ระดับ 0 ถึง 100 โดยค่าที่ใกล้ 0 หมายถึง “Extreme Fear” (ความกลัวขั้นสูงสุด) และค่าที่ใกล้ 100 หมายถึง “Extreme Greed” (ความกล้าขั้นสูงสุด) กระบวนการสร้างดัชนีนี้อาศัยการรวบรวมข้อมูลที่สะท้อนพฤติกรรมและการตัดสินใจของนักลงทุนในตลาดจริง โดยตัวชี้วัดที่นิยมนำมาใช้มักอยู่ในกลุ่มต่อไปนี้

         ปัจจุบัน ตลาดหุ้นไทยมีตัวชี้วัดอารมณ์ผู้ลงทุนในรูปแบบ Survey-Based  ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีการจัดทำ Investor Sentiment Index ในรูปแบบ Market-Based โดยใช้งานตัวชี้วัด เช่น การติดตามมูลค่าซื้อขายสุทธิของผู้ลงทุนต่างชาติ อัตราส่วนการออกตราสารทุนเทียบกับตราสารหนี้ จำนวนหุ้น IPO และ มูลค่าการซื้อขายรายเดือนในตลาดหลักทรัพย์ โดยตัวดัชนีนี้ใช้ข้อมูลที่สะท้อนพฤติกรรมการซื้อขายจริงในตลาดเพื่อประเมินอารมณ์ของผู้ลงทุนทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ

          นักลงทุนไทยยก ปัจจัย "ข่าว-ราคาหุ้น" ผลต่อ "Fear and Greed"

      การพัฒนา Fear and Greed Index สำหรับตลาดหุ้นไทยจะช่วยเพิ่มมุมมองและเติมเต็มช่องว่างสำคัญโดยการรวบรวมข้อมูลในหลายมิติ เช่น ความผันผวนในตลาด ความสมดุลระหว่างแรงซื้อและแรงขาย และพฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนกลุ่มต่าง ๆ รวมทั้งดัชนีที่สะท้อนอารมณ์ผู้ลงทุนที่มีความถี่มากขึ้นจากรายเดือนเป็นรายวัน จะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจสภาวะตลาดได้ชัดเจนและทันเหตุการณ์ เพิ่มความสามารถในการวางกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสม และยังช่วยให้สถาบันและหน่วยงานต่างๆ สามารถติดตามความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมตลาด เช่น ความเสี่ยงจากฟองสบู่หรือการขายตื่นตระหนกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

        จากการสำรวจความคิดเห็นของนักลงทุนไทยในเดือนพฤษภาคม 2568 เกี่ยวกับการจัดทำดัชนี Fear and Greed Index จำนวน 1,243 คน พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ เป็นนักลงทุนในช่วงวัย Gen X และ Gen Y และที่น่าสนใจคือ นักลงทุนจำนวนมากถึงร้อยละ 59 มีประสบการณ์การลงทุน มากกว่า 5 ปี แสดงให้เห็นว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีความคุ้นเคยกับตลาดพอสมควร และอาจเคยผ่านช่วง ภาวะตลาดที่มีความผันผวนมาแล้วหลายครั้ง ซึ่งทำให้มุมมองของกลุ่มตัวอย่างมีน้ำหนักในแง่ของประสบการณ์จริง 

       ประเภทสินทรัพย์ที่ลงทุนในปัจจุบัน คำตอบส่วนใหญ่สะท้อนว่านักลงทุนเน้นลงทุนใน “หุ้น” เป็นหลัก โดยมีสัดส่วน สูงถึงเกือบ 80% ของกลุ่มตัวอย่าง รองลงมาคือกองทุนรวม และสินทรัพย์อื่น ๆ อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งบ่งชี้ว่าดัชนี Fear and Greed ที่จะนำไปใช้ควรเน้นการสะท้อนสภาวะของตลาดหุ้นเป็นหลัก มากกว่าตลาดการเงินประเภทอื่น เช่น พันธบัตรหรืออสังหาริมทรัพย์ เมื่อสอบถามถึงปัจจัยที่นักลงทุนใช้ประเมินภาวะ “ตลาดผันผวน” นักลงทุนส่วนใหญ่เลือก

       “ข่าวหรือเหตุการณ์สำคัญ” และ “ราคาหุ้นที่ขึ้นหรือลงแรง” เป็นปัจจัยหลักที่บ่งชี้ ความกลัวหรือความกล้าของตลาด แสดงให้เห็นว่า ความรู้สึกของนักลงทุนไทย มักได้รับอิทธิพลโดยตรงจากสื่อต่างๆ และการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในระยะสั้น ในแง่มุมของอารมณ์ นักลงทุนกว่า 90% ยอมรับว่า “อารมณ์” มีผลต่อการตัดสินใจลงทุนโดยผู้ลงทุน 57% ตอบว่า “มีผลมาก” ในขณะที่ 36% ตอบว่า“มีผลพอสมควร”

      นอกจากนั้น หากรวมกลุ่มตัวอย่างที่มองว่าตลาดในช่วงเวลานี้อยู่ในภาวะของ “ความกลัว” และ “ความกลัวมาก” เข้าด้วยกันพบว่า คิดเป็น 70% ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด ซึ่งสอดคล้องกับตัวชี้วัดแทบทุกตัวแสดงให้เห็นว่าผู้ลงทุนในเดือนพฤษภาคม 2568 ซึ่งเป็นช่วงที่กำลัง Survey มีความกลัวมากกว่ากล้า และในแบบสอบถามยังระบุถึงพฤติกรรมเชิงลึกของกลุ่มตัวอย่าง ว่าเมื่อรู้สึกถึงภาวะความกลัวในตลาดพวกเขามักจะทำ

        อย่างไร พบว่า ผู้ตอบ 41% บอกว่าจะหยุดลงทุนหรือถือเงินสดไว้ก่อนเพื่อรอดูสถานการณ์ ขณะที่ 18% ตอบว่าจะทยอยลงทุนเพิ่มเมื่อมีความมั่นใจ ตามมาด้วย 16% ที่ยืนยันว่ายึดตามกลยุทธ์เดิม ไม่เปลี่ยนแผนตามอารมณ์ของตลาด ในขณะที่ 15% จะเข้าซื้อสวนกระแส (Contrarian)