KCE กำไรทรุด Q2/68 ที่ 182 ล้านลดลง 71 % ผลกระทบลูกค้ารถยนต์-ปรับราคาขาย-บาทแข็ง

KCE กำไร Q2/68 ทรุด 71 % ที่ 182 ล้านบาท จากไตรมาสก่อนที่ 635 ล้านบาท ตามรายได้ลดลง หลังปรับลดราคาขาย -บาทแข็งค่า และคำสั่งซื้อจากลูกค้าหลักในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ชะลอตัว
บริษัท เคซีอีอีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2568 มีรายได้รวมของกลุ่มบริษัทฯ 3,343.1 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 2.4 เทียบกับไตรมาสก่อน หน้า และลดลงร้อยละ 21.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้รวมของไตรมาส 2/68 นี้ประกอบด้วยรายได้จากการขายสินค้า จำนวน 3,285.4 ล้านบาท และรายได้อื่นๆ จำนวน 57.7 ล้านบาท รายได้อื่นในไตรมาส 2/68 ลดลงจาก 101.9 ล้านบาทในไตรมาส 1/68 และลดลงจาก 234.2 ล้านบาทในไตร มาส 2/67เนื่องจากผลกระทบจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนส่งผลทำให้การรับรู้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนลดลง 40.1 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ ไตรมาสที่ 2/67 นอกจากนี้ รายได้อื่นในไตรมาส 2/67 ยังรวมกำไรจำนวน 136.7 ล้านบาท จากการขายทรัพย์สินซึ่งส่วนใหญ่เป็นการขายทรัพย์สินชองโรงงานเก่า
บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 18.1% ของยอดขาย เพิ่มขึ้นจาก 17.4% ในไตรมาส 1 แต่ลดลงจาก 24.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน อัตรากำไรที่ลดลงเมื่อเทียบรายปีนั้นเกิดจากสองปัจจัยหลัก คือ การปรับลดราคาประจำปีตามคำขอของลูกค้า และค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อการรับรู้รายได้ในรูปเงินบาท
ปัจจัยอีกประการหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรในไตรมาส 2/68 คือการปรับรายการที่เกี่ยวข้องกับการเข้าซื้อ กิจการบริษัทจัดจำหน่ายในประเทศเยอรมนี เนื่องจากบริษัทดังกล่าวได้เปลี่ยนสถานะมาเป็นบริษัทย่อย บริษัทจึงต้องตัดกำไรภายในที่เกิดจากสินค้าคงคลังที่ถือโดยบริษัทย่อยในเยอรมนีออกจากงบการเงินรวม ซึ่งส่งผลกระทบต่อกำไรประมาณ 24.0 ล้านบาท
โดยกำไรดังกล่าวจะรับรู้กลับเข้ามาเมื่อมีการขายสินค้าให้แก่ลูกค้าปลายทาง ต้นทุนวัตถุดิบที่สำคัญคือ ทองแดง ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในกระบวนการผลิตแผ่นวงจรพิมพ์ (PCB) มีราคาสูงขึ้นส่งผลให้ต้นทุนขายเพิ่มขึ้นประมาณ 0.28% เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส และเพิ่มขึ้น 1.36% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ราคาทองแดงจะถูกกำหนดโดยตลาดโลหะอุตสาหกรรมโลก โดยบริษัทได้บริหารจัดการร่วมกับผู้จัดจำหน่ายรายสำคัญเพื่อลดต้นทุนส่วนเพิ่ม ที่เกี่ยวข้องกับต้นทุนการจัดการของผู้จำหน่ายในส่วนของต้นทุนค่าใช้จ่ายโรงงาน แม้การใช้พลังงานจะมีแนวโน้มลดลง แต่ยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการประหยัดได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากอัตราการใช้เครื่องจักรยังอยู่ในระดับต่ำ
โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้นของ การติดตั้งเครื่องจักรใหม่ ที่ต้องใช้เวลาในการทดสอบระบบและเรียนรู้กระบวนการผลิตใหม่ ด้านบวก คือ ต้นทุนสารเคมี ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักอีกประเภทหนึ่งในกระบวนการผลิต PCB เริ่มมีแนวโน้มลดลงใน ไตรมาสนี้ และคาดว่าจะลดลงต่อเนื่องในไตรมาส 3จากการเริ่มใช้งาน ผู้จัดจำหน่ายรายใหม่ อัตราการใช้กำลังการผลิตของบริษัทอยู่ที่ 66% เทียบเท่ากับไตรมาสก่อน แต่ลดลงจาก 73% ในไตรมาส 2 ปี 2567ซึ่งส่งผลให้บริษัทต้องแบกรับภาระของ ต้นทุนคงที่ เช่น ค่าเสื่อมราคา ค่าบ ารุงรักษาโรงงาน และค่าใช้จ่ายพนักงานประจำ
แม้เผชิญแรงกดดันจากรายได้ที่ลดลง แต่ด้วยความพยายามอย่างต่อเนื่องในด้านการลดต้นทุน ทำให้บริษัท สามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นที่ 18.1% ในไตรมาส 2 ปี 2568 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน โดยกลยุทธ์ด้านต้นทุนยังคงเป็น หัวใจสำคัญ ในการรักษาความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว
กำไรสุทธิรวมจำนวน 182.1 ล้านบาท สำหรับไตรมาส 2/68 ซึ่งลดลงอย่างมีนัยสำคัญ 71 .33 % เมื่อเปรียบเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสก่อน โดยปัจจัยหลักที่ส่งผลให้กำไรลดลง ได้แก่ การรับรู้รายได้ที่ลดลง อันเป็นผลมาจากการปรับลดราคาขาย การแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ และคำสั่งซื้อจากลูกค้าหลักในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ชะลอตัว
โดยสรุป ผลประกอบการที่ลดลงในไตรมาสนี้มีสาเหตุจากภาวะอุปสงค์ในตลาดโลกที่ลดลง และอัตราแลกเปลี่ยนที่ไม่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจ ซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้ของกลุ่มบริษัทโดยตรง นอกจากนี้ การใช้กำลังการผลิต ที่ไม่เต็มประสิทธิภาพในไตรมาสนี้ยังส่งผล กระทบต่ออัตรากำไรอีกด้วย ส่งผลให้กำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐานในไตรมาส 2/68 อยู่ที่ 0.15 บาท
กลุ่มบริษัทยังคงดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยติดตามภาวะเศรษฐกิจโลก และแนวโน้มคำสั่งซื้อของลูกค้าอย่างใกล้ชิด พร้อมกันนี้ยังคงให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุนและการ ปรับปรุงกระบวนการผลิตอย่างต่อเนื่อง







