เช็กพอร์ต 'ก.การคลัง' ล้านล้านบาท ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 'THAI' หวนสยายปีกอีกครั้ง

เช็กพอร์ต กระทรวงการคลัง มูลค่า ล้านล้านบาท ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 'THAI' หวนสยายปีกอีกครั้ง ปัจจุบันถือหุ้นใหญ่ 13 หลักทรัพย์
บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI กลับมาซื้อขายวันแรก 4 สิงหาคม 2568 ซึ่งตลอดทั้งสัปดาห์ราคาแรงร้อนแรงไม่หยุด พุ่งทะยานต่อเนื่องเกิน 300% ท่ามกลางมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่นติดต่อกันทุกวัน ทั้งนี้ THAI มี "กระทรวงการคลัง" เป็นผู้ถือใหญ่อันดับหนึ่ง มีมูลค่าจากหุ้นที่ถือในการบินไทยเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ซึ่ง "กรุเงเทพธุรกิจ" จะพาไปอัพเดตพอร์ตของ "กระทรวงการคลัง" ว่า ปัจจุบันมีมูลค่ากว่าล้านล้านบาท เข้าไปถือหลักทรัพย์ไหนบ้าง
บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) PTT
- คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่
- กระทรวงการคลังถือหุ้นใหญอันดับ 1 จำนวน 14,598,855,750 หุ้น สัดส่วน 51.11%
- มาร์เก็ตแคป 921,157 ล้านบาท
- EBITDA 103,905 ล้านบาท
- EV/EBITDA 6.91 เท่า
- P/E 10.84 เท่า
- ราคาสูงสุด /ต่ำสุด รอบ 1 ปีที่ 35.00 / 27.00 บาท
- ราคาปิด ณ 7 ส.ค.2568 ที่ 32.25 บาท
- ผลตอบแทนราคา 5 วัน -3.01%
- เงินปันผลตอบแทน YTD 6.56%
- กำไรไตรมาส 1/68 ที่ 23,315 ล้านบาท
- รายได้ไตรมาส 1/68 ที่ 708,517 ล้านบาท
บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า PTT คาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 2/68 อยู่ที่ 2.1 หมื่นล้านบาท ลดลง 41% YoY และลดลง 10% QoQ ซึ่งกำไรที่ลดลงมาจากส่วนแบ่งกำไรของบริษัทในเครือหลักๆ จาก PTTEP, PTTGC และ IRPC ลดลง เนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่ลดลง และส่วนต่างราคาปิโตรเคมีภัณฑ์ที่ไม่ค่อยดี รวมถึงผลกระทบจากการปิดซ่อมบำรุงโรงงานโอเลฟินส์ของ PTTGC ขณะที่ TOP และ GPSC คาดว่าจะรายงานกำไรที่แข็งแกร่งที่สุดในไตรมาสนี้ เนื่องจาก TOP มีกำไรพิเศษจากค่าความนิยมติดลบจาก Chadra Asri และต้นทุนก๊าซที่ลดลงของ GPSC ในส่วนของธุรกิจก๊าซธรรมชาติคาดว่าจะทรงตัว QoQ ตามความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติทรงตัวจากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้น ซึ่งหักกลบโดยอัตรากำไรที่ลดลง
ส่วนแนวโน้มกำไรไตรมาส 3/68 ของ PTT ฝ่ายวิจัยกสิกรไทย คาดว่ากำไรสุทธิจะปรับตัวดีขึ้น QoQ จากการฟื้นตัวของส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทในเครือหลักๆ โดยเฉพาะ PTTEP และบริษัทย่อยในกลุ่มโรงกลั่น อันเป็นผลมาจากราคาน้ำมันดิบที่ฟื้นตัวขึ้น ผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันที่พลิกเป็นกำไร และส่วนต่างราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้น นอกจากนี้ PTT น่าจะรับรู้กำไรพิเศษจากการขายหุ้นประมาณ 2% ในบริษัท โลตัส ฟาร์มาซูติคอล ประมาณ 7.0-8.0 พันล้านบาท โดยการขายหุ้นครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การแปลงสินทรัพย์เป็นเงินที่กลุ่ม PTT มีแผนจะดำเนินการในช่วงครึ่งหลังปี 2568 จนถึงปี 2569
บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) AOT
- ปวีณา จริยฐิติพงศ์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (รักษาการ)
- กระทรวงการคลังถือหุ้นใหญอันดับ 1 จำนวน 10,000,000,000 หุ้น สัดส่วน 70.00%
- มาร์เก็ตแคป 578,571 ล้านบาท
- EBITDA 20,952 ล้านบาท
- EV/EBITDA 16.36 เท่า
- P/E 30.08 เท่า
- ราคาสูงสุด /ต่ำสุด รอบ 1 ปีที่ 65.00 / 26.75 บาท
- ราคาปิด ณ 7 ส.ค.2568 ที่ 40.50 บาท
- ผลตอบแทนราคา 5 วัน -1.22%
- เงินปันผลตอบแทน YTD 1.95%
- กำไรสุทธิรอบ 6 เดือน สิ้นสุด มิ.ย.2568 ที่ 10,398 ล้านบาท
- รายได้สุทธิรอบ 6 เดือน สิ้นสุด มิ.ย.2568 ที่ 35,808 ล้านบาท
บล.ฟิลลิป เปิดเผยว่า AOT คาดการณ์กำไรไตรมาส 3/68 ที่ 3,656 ล้านบาท -19.9% y-y จากรายได้คาด -5.4% ที่ 15,513 ล้านบาท จากการที่ผู้โดยสารระหว่างประเทศ (Inter)-3.6% ที่ 17.14 ล้านคน จากนักท่องเที่ยวจีนและอาเซียนที่หดตัว แต่ได้นักท่องเที่ยวจากอินเดียและยุโรปที่เติบโตชดเชยได้ส่วนหนึ่ง แต่ผู้โดยสารในประเทศ (Dom) +4.9% ที่ 11.68 ล้านคน ซึ่งจากการลดลงของผู้โดยสาร Inter ทeให้รายได้ธรรมเนียมขาออก (PSC) ลดลง เพราะผู้โดยสาร Inter ที่ 730 บาท/คนสูงกว่า Dom ที่เก็บ 130 บาทรวมถึงส่งผลต่อส่วนแบ่งผลประโยชน์จาก Duty Free ให้ลดลงตามผู้โดยสาร Inter ส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานคาด +2.3% จากค่าซ่อมแซมและบำรุงรักษาเป็นหลัก หลังหมดการันตีการซ่อมบำรุงและค่าใช้จ่ายพนักงาน +4.7% จากการปรับเงินเดือนและพนักงานของบริษัทย่อย แต่หากเทียบ q-q คาดกำไร-27.7% เป็นไปตามฤดูกาล เพราะไตรมาสนี้เริ่มเข้าสู่ low season และนักท่องเที่ยวหดตัวผู้โดยสาร Inter -20.2% และผู้โดยสาร Dom -12.3% ทำให้รายได้ -13.6%q-q อย่างไรก็ตาม ราคาพื้นฐานอยู่ที่ 34.25 บาท แต่หากได้ปรับค่า PSC อีก 105 บาท ราคาพื้นฐานปรับเป็ น 43 บาทแนะนำ “ทยอยขาย” จากราคาที่ปรับขึ้นมาใกล้เคียงกรณีที่ได้ปรับ PSC แล้ว
บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) THAI
- ชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
- กระทรวงการคลังถือหุ้นใหญอันดับ 1 จำนวน 11,010,143,112 หุ้น สัดส่วน 38.90%
- มาร์เก็ตแคป 379,264 ล้านบาท
- EBITDA 16,397.66 ล้านบาท
- EV/EBITDA 45.32 เท่า
- P/E - เท่า
- ราคาสูงสุด /ต่ำสุด รอบ 1 ปีที่ 14.40 / 8.55 บาท
- ราคาปิด ณ 7 ส.ค.2568 ที่ 13.40 บาท
- ผลตอบแทนราคา 5 วัน +303.61%
- เงินปันผลตอบแทน YTD -%
- กำไรสุทธิไตรมาส 2/68 ที่ 12,124 ล้านบาท
- รายได้รวมสุทธิไตรมาส 2/68 ที่ 44,828 ล้านบาท
บล.กรุงศรี เปิดเผยว่า THAI รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/68 ที่ 12,124 ล้านบาท +3,861%yy +23%qq สูงกว่าเราคาด +143% แต่ถ้าไม่รวมรายการพิเศษและกำไร/ขาดทุน FOREX จะมีกำไรปกติ 6,778 ล้านบาท +488%yy -34%qq สูงว่าเราคาด 35% หลักๆ เกิดจากต้นทุนซ่อมแซมเครื่องบินต่ำกว่าคาด -25% ซึ่งผันผวนตามงวดการซ่อมเครื่องบิน ขณะที่รายได้ต่ำกว่าคาด -2% จากราคาตั๋วเฉลี่ยลดลงมากกว่าคาด กำไรปกติโตyy จากอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มเป็น 37.4% (vs 30%) เนื่องจากได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันลดลง -18%yy และค่าซ่อมแซมเครื่องบินลดลง -22%yy ทางด้านรายได้ +1%yy -14%qq ลดลง qq ตามฤดูกาล ราคาตั๋วเฉลี่ย -4%yy -9%qq และ Passenger yield -13%yy -9%qq ลดลงทั้ง yy และ qq ส่งสัญญาณการแข่งขันในอุตฯ สูงขึ้น รวมครึ่งปีแรกของปี 2568 มีกำไรสุทธิ 21,956 ล้านบาท เพิ่ม +708%yy และกำไรปกติ 16,974 ล้านบาท เพิ่ม +124%yy คิดเป็น 65% ของประมาณการทั้งปี
แนวโน้มไตรมาส 3/68 ยังเป็นช่วง Low season ของอุตฯ การบิน เราคาดรายได้ทรงตัว qq ขณะที่อัตรากำไรมีแนวโน้มลดลงจากราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น +8%qq ราคาเฉลี่ย ไตรมาส 3/68 (qtd) 87.9USD),โดยเราประเมินทุก 1% ของราคาน้ำมันที่เพิ่มจะทำให้กำไร THAI ลดลงราว -2%,และมีความเสี่ยงค่าซ่อมเครื่องบินเพิ่มqq จากฐานต่ำอีกด้วยเรายังคงมองแนวโน้มกำไรปกติครึ่งปีหลัง ลดลงจากฐานสูงในครึ่งปีแรกและยังคาดกำไรปกติปี 2568 ที่ 26,273 ล้านบาท +25%yy อาจมี Upside +7% จากที่งวดไตรมาส 2/68 กำไรปกติสูงกว่าคาด และยังคงคาดกำไรปี 2569 ลดลง -16%yy จากการแข่งขันสูงขึ้น
ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) TTB
- ปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
- กระทรวงการคลังถือหุ้นใหญอันดับ 3 จำนวน 11,364,282,005 หุ้น สัดส่วน 11.66%
- มาร์เก็ตแคป 187,337 ล้านบาท
- EBITDA - ล้านบาท
- EV/EBITDA - เท่า
- P/E 8.76 เท่า
- ราคาสูงสุด /ต่ำสุด รอบ 1 ปีที่ 2.06 / 1.64 บาท
- ราคาปิด ณ 7 ส.ค.2568 ที่ 1.92 บาท
- ผลตอบแทนราคา 5 วัน -0.52%
- เงินปันผลตอบแทน YTD 6.94%
- กำไรสุทธิไตรมาส 2/68 ที่ 5,004 ล้านบาท
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า แนวโน้มกำไรสุทธิครึ่งปี คาดปรับลงต่อทั้ง YoY และ HoH ตามภาพอุตสาหกรรม เนื่องจากมีแรงกดดันจากการปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ลง รวมถึงสินเชื่อรวมที่ยังขยายตัวได้จำกัด แต่ด้วยคุณภาพสินทรัพย์ที่แข็งแรง และการใช้นโยบาย Write-Off เชิงรุก คาดช่วยให้ในช่วงไตรมาส 2/68 มีการตั้งสำรองที่น้อยลง เพราะ TTB เร่งตั้งสำรองส่วนเกินไปมากแล้วในไตรมาส 1/68 หนุนให้เราคาดทั้งปีนี้ TTB จะมีกำไรสุทธิที่ 21,149 ล้านบาท ทรงตัว YoY และคาดโต 2.6% ในปีหน้า
ทั้งนี้ TTB มีลูกหนี้เข้าข่ายได้รับสิทธิตามมาตรการ “คุณสู้เราช่วย” ราว 6% ใน Phase 1 และ 1% ในPhase 2 ส่วนใหญ่จะเป็นลูกหนี้สินเชื่อบ้านและสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์แต่ Adoption Rate ในPhase 1 อยู่ที่42% ถือว่าไม่สูงมากซึ่งแม้ช่วงเริ่มโครงการจะมีผลกดดัน Asset Yield จากการปรับลดดอกเบี้ยให้ลูกหนี้ แต่ผู้บริหารมองว่าธนาคารจะมีผลเป็นกลางจากมาตรการดังกล่าวเพราะมีเงินชดเชยเข้ามาช่วย และคาดจะเริ่มโอนกลับค่าใช้จ่ายส ารองหากลูกหนี้สามารถช าระหนี้ได้ตามข้อตกลงของโครงการซึ่งเป็นแนวทางที่ค่อนข้างอนุรักษ์นิยม
โดยเรามีมุมมองเป็นกลางต่อผลดำเนินงานของ TTB ที่ออกมาใกล้เคียงคาดราคาหุ้นปัจจุบันมี Upside ราว 12.2% จากมูลค่าพื้นฐานปี 2568 เดิมที่ 2.12 บาท โดยความน่าสนใจของ TTB เรามองว่าอยู่ที่คุณภาพสินทรัพย์ที่แข็งแรง และคาดเป็นหุ้นที่ให้ปันผลน่าสนใจ คาดเงินปันผลระหว่างกาลที่ 0.06 บาท คิดเป็น Div. Yield 3.1% ส่วนทั้งปีคาดเงินปันผลที่ 0.13 บาท คิดเป็น Div. Yield 7% นอกจากนี้ยังมีวงเงินซื้อหุ้นคืนปีละ 7,000 ลบ. ต่อเนื่อง 3 ปี ทำให้เป็นหุ้นธนาคารที่มี Capital Return ให้กับผู้ถือหุ้นสูงที่สุดในกลุ่มที่ 11% จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”
บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) OR
- ม.ล.ปีกทอง ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
- กระทรวงการคลังถือหุ้นใหญอันดับ 3 จำนวน 153,349,808 หุ้น สัดส่วน 1.28%
- มาร์เก็ตแคป 154,800 ล้านบาท
- EBITDA 7,530 ล้านบาท
- EV/EBITDA 10.65 เท่า
- P/E 18.64 เท่า
- ราคาสูงสุด /ต่ำสุด รอบ 1 ปีที่ 17.80 / 10.10 บาท
- ราคาปิด ณ 7 ส.ค.2568 ที่ 12.90 บาท
- ผลตอบแทนราคา 5 วัน -7.19%
- เงินปันผลตอบแทน YTD 3.10%
- กำไรสุทธิไตรมาส 2/68 ที่ 2,232 ล้านบาท
- รายได้รวมสุทธิไตรมาส 2/68 ที่ 167,166 ล้านบาท
บล. บัวหลวง เปิดเผยว่า OR รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/68 ที่2,232 ล้านบาท ลดลง 12%YoY และ 49%QoQ ซึ่งต่ากว่าที่เราและตลาดคาด 14% เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่มากกว่าคาด ปัจจัยหลักที่ส่งผลให้กำไรสุทธิปรับตัวลดลงได้แก่ กำไรจากธุรกิจ Mobility ที่ลดลง, กำไรจากธุรกิจต่างประเทศที่ลดลง รวมถึงค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่เพิ่มขึ้น สัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายอยู่ที่ 3.7% เพิ่มขึ้นจาก 3.3% ในไตรมาส 2/67 และ 2.9% ในไตรมาส 1/68,และอัตราภาษีที่เพิ่มขึ้นสำหรับธุรกิจ Mobility ปริมาณขายน้ามันของ OR ในไตรมาส 2/68 อยู่ที่ 6,381 ล้านลิตร ทรงตัวYoY แต่ลดลง 5% QoQ (ปริมาณขายน้ามันกลุ่มพาณิชย์ที่ลดลง QoQ) กาไรขั้นต้นของธุรกิจน้ามันอยู่ที่ 0.85บาท/ลิตร ลดลง 6% YoY (กำไรขั้นต้นที่ลดลงในทุกตลาด) และ 17% QoQ (กำไรขั้นต้นที่ลดลงในทุกตลาดและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น)
สำหรับธุรกิจ Lifestyle (non-oil) คาเฟ่อเมซอนมีปริมาณขายอยู่ที่ 107 ล้านแก้วเพิ่มขึ้น 5% YoY และ3% QoQ ในขณะที่ EBITDA margin ของธุรกิจ non-oil อยู่ที่ 28.7% เพิ่มขึ้นจาก 27.3% ในไตรมาส 2/67 (การยุติกิจการที่ผลการดำเนินงานขาดทุนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ลดลง)แต่ลดลงจาก 29.9% ในไตรมาส 1/68(ค่าใช้จ่ายด้านการโฆษณา การส่งเสริมการขาย และดิจิทัลที่สูงขึ้น)
สำหรับธุรกิจต่างประเทศ ปริมาณขายน้ามันอยู่ที่ 571 ล้านลิตร เติบโต 4% YoY (ปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นในฟิลิปปินส์และลาว) แต่ลดลง 4%QoQ (ปริมาณขายที่ลดลงในฟิลิปปินส์และกัมพูชา) ในขณะที่คาเฟ่อเมซอนในต่างประเทศมีปริมาณขาย 8.4 ล้านแก้ว เพิ่มขึ้น9% ทั้งYoYและ QoQ โดยมี EBITDA margin ของธุรกิจต่างประเทศอยู่ที่ 3.4% เพิ่มขึ้นจาก 3.3% ในไตรมาส 2/67(กำไรขั้นต้นจากธุรกิจน้ามันในกัมพูชาและลาวที่สูงขึ้น)แต่ลดลงจาก 4.1% ในไตรมาส 1/68 (กำไรขั้นต้นจากธุรกิจน้ามันในฟิลิปปินส์และลาวที่ลดลง) เราคาดผลการดำเนินงานหลักไตรมาส 3/68 จะพลิกกลับ YoY (ทรงตัว QoQ) เนื่องจากกาไรที่เพิ่มขึ้นจากทุกธุรกิจ-ธุรกิจ Mobility, Lifestyle, และธุรกิจต่างประเทศ
บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) BCP
- ชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่
- กระทรวงการคลังถือหุ้นใหญอันดับ 5 จำนวน 65,543,767 หุ้น สัดส่วน 4.76%
- มาร์เก็ตแคป 46,815 ล้านบาท
- EBITDA 16,193 ล้านบาท
- EV/EBITDA 6.00 เท่า
- P/E 25.13 เท่า
- ราคาสูงสุด /ต่ำสุด รอบ 1 ปีที่ 41.00 / 26.50 บาท
- ราคาปิด ณ 7 ส.ค.2568 ที่ 34.00 บาท
- ผลตอบแทนราคา 5 วัน -%
- เงินปันผลตอบแทน YTD 3.09%
- กำไรสุทธิไตรมาส 2/68 ที่ -2,560 ล้านบาท
- รายได้สุทธิไตรมาส 2/68 ที่ 125,827 ล้านบาท
บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เปิดเผยว่า แนวโน้มกำไรไตรมาส 3/68 กลับมาเพิ่มขึ้น เราคาดว่าไตรมาส 3/68 จะกลับมาเพิ่มขึ้นQoQ, YoY ตามรายการพิเศษโดยเฉพาะการตั้งด้อยค่าของ BCPG จะหายไป มีกำไรจากสต๊อกน้ำมัน ขณะที่กำไรปกติจะได้แรงหนุนจากกำลังการกลั่นเพิ่มขึ้นมากหลังหยุดซ่อมบำรุงและค่าการกลั่นเพิ่มขึ้นตามสเปรดน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นมากขณะเดียวกัน ก็คาดว่ากำไรของ BCPG เพิ่มขึ้นตามสเปรดของโรงก๊าซในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นตามฤดูกาลร่วมกับรับรู้ Capacity revenue เต็มไตรมาส และฤดูกาลของ Hydro ในลาว และกำไรของ OKEA เพิ่มขึ้นตามราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้การก้าวเข้าสู่ธุรกิจ E&P ในภูมิภาคเอเชีย BCP เพิ่งประกาศเป็นพันธมิตรร่วมกับเชฟรอน ลงทุนในสัญญาแบ่งปันผลผลิตสัดส่วน 30% ในแปลงสำรวจ G2/65 ถือเป็นการก้าวเข้าสู่ธุรกิจ E&P ในภูมิภาคเอเชียเป็นครั้งแรก โดยต่อยอดจากการลงทุนใน OKEA เป็นส่วนหนึ่งของงบลงทุน E&P 2 หมื่นล้านบาท ปีนี้และ BCP ตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วน EBITDA ของธุรกิจ E&P>50% ระยะยาว ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” คาดกำไรปกติจะกลับมาเติบโตไตรมาสหน้าหนุนโดยค่าการกลั่นที่ปรับขึ้น และกำไรจาก BCPG เพิ่มขึ้น รวมถึง BCP ยังคงมองหาโอกาสเติบโตใหม่ๆ ต่อเนื่อง
บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) DMT
- ธานินทร์ พานิชชีวะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
- กระทรวงการคลังถือหุ้นใหญอันดับ 2 จำนวน 261,350,000 หุ้น สัดส่วน 22.13%
- มาร์เก็ตแคป 12,049 ล้านบาท
- EBITDA 516 ล้านบาท
- EV/EBITDA 6.45 เท่า
- P/E 13.35 เท่า
- ราคาสูงสุด /ต่ำสุด รอบ 1 ปีที่ 12.10 / 9.30 บาท
- ราคาปิด ณ 7 ส.ค.2568 ที่ 10.20 บาท
- ผลตอบแทนราคา 5 วัน -0.97%
- เงินปันผลตอบแทน YTD 8.14%
- กำไรสุทธิไตรมาส 1/68 ที่ 273 ล้านบาท
- รายได้สุทธิไตรมาส 1/68 ที่ 659 ล้านบาท
ทั้งนี้ DMT เปิดตัวโครงการนำร่อง “ทำนาลดคาร์บอน” ยกระดับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตเสริมความยั่งยืนด้วยเทคโนโลยีและเป้าหมายเชิงสิ่งแวดล้อม DMT ดำเนินธุรกิจโดยยึดหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน มีการจัดทำบัญชีคาร์บอนขององค์กร (CFO) และแผนลดคาร์บอน (Decarbonization Roadmap) โดยในปี 2565 มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวม 3,463 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี พร้อมตั้งเป้าเป็นองค์กร Carbon Neutral ภายในปี 2050 และเริ่มติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพื่อลดการปล่อยก๊าซ CO₂e ได้กว่า 348 ตันต่อปี นอกจากนี้ DMT ยังได้รับการประเมิน SET ESG Ratings ระดับ “AA” ในกลุ่มธุรกิจบริการจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และตั้งเป้าภายในปี 2568 ที่จะสร้างผลกระทบเชิงบวก 3 ด้าน ได้แก่ สิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ ร่วมกับพันธมิตรภาครัฐ เอกชน และชุมชนโดยรอบ
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) MFC
- ธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ
- กระทรวงการคลังถือหุ้นใหญอันดับ 3 จำนวน 20,000,000 หุ้น สัดส่วน 15.92%
- มาร์เก็ตแคป 3,297 ล้านบาท
- EBITDA - ล้านบาท
- EV/EBITDA -เท่า
- P/E 13.78 เท่า
- ราคาสูงสุด /ต่ำสุด รอบ 1 ปีที่ 31.25 / 19.00 บาท
- ราคาปิด ณ 7 ส.ค.2568 ที่ 26.25 บาท
- ผลตอบแทนราคา 5 วัน -1.87%
- เงินปันผลตอบแทน YTD 4.00%
- กำไรสุทธิไตรมาส 1/68 ที่ 61 ล้านบาท
- รายได้สุทธิไตรมาส 1/68 ที่ 353 ล้านบาท
ทั้งนี้ MFC เดินหน้าในการยกระดับมาตรฐานการบริหารกองทุนอย่างไม่หยุดยั้ง ภายใต้แนวคิด “Trust. Prosper ความมั่งคั่งที่คุณไว้วางใจ” เพื่อมอบโอกาสการลงทุนคุณภาพ และสร้างอนาคตทางการเงินที่แข็งแกร่งร่วมกับผู้ลงทุน MFC ขอขอบคุณผู้ลงทุนทุกท่านที่มอบความไว้วางใจเสมอมา และจะไม่หยุดพัฒนา เพื่อเป็นผู้นำที่คุณเชื่อมั่นได้ในทุกจังหวะของเศรษฐกิจ
บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) MCOT
- ผาติยุทธ ใจสว่าง ผู้อำนวยการใหญ่ (รักษาการ)
- กระทรวงการคลังถือหุ้นใหญอันดับ 1 จำนวน 452,134,022 หุ้น สัดส่วน 65.80%
- มาร์เก็ตแคป 2,721 ล้านบาท
- EBITDA -32 ล้านบาท
- EV/EBITDA -64 เท่า
- P/E - เท่า
- ราคาสูงสุด /ต่ำสุด รอบ 1 ปีที่ 10.60 / 2.44 บาท
- ราคาปิด ณ 7 ส.ค.2568 ที่ 3.96 บาท
- ผลตอบแทนราคา 5 วัน +4.21%
- เงินปันผลตอบแทน YTD -%
- กำไรสุทธิไตรมาส 1/68 ที่ -84 ล้านบาท
- รายได้สุทธิไตรมาส 1/68 ที่ 251 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีโครงการพัฒนาที่ดิน 50 ไร่ ฝ่ายบริหาร บมจ. อสมท อยู่ระหว่างกระบวนการศึกษา วิเคราะห์ และจัดทำ (ร่าง) ข้อกำหนดการจัดหาประโยชน์บนที่ดินดังกล่าว และสำหรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นบมจ.อสมท ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 2 อันดับแรก กระทรวงการคลัง และธนาคารออมสิน
บริษัท โรงพยาบาลราชพฤกษ์ จำกัด (มหาชน) RPH
- นพ.ธีระวัฒน์ ศรีนัครินทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
- กระทรวงการคลังถือหุ้นใหญอันดับ 6 จำนวน 14,700,000 หุ้น สัดส่วน 2.69%
- มาร์เก็ตแคป 2,719 ล้านบาท
- EBITDA 76.68 ล้านบาท
- EV/EBITDA 8.02 เท่า
- P/E 14.90 เท่า
- ราคาสูงสุด /ต่ำสุด รอบ 1 ปีที่ 5.90 / 4.98 บาท
- ราคาปิด ณ 7 ส.ค.2568 ที่ 4.98 บาท
- ผลตอบแทนราคา 5 วัน -0.40%
- เงินปันผลตอบแทน YTD 5.95%
- กำไรสุทธิไตรมาส 1/68 ที่ 44 ล้านบาท
- รายได้สุทธิไตรมาส 1/68 ที่ 288 ล้านบาท
ทั้งนี้ RPH แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ได้สิ้นสุดโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน (Treasury Stock) แล้วเมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 68 โดยบริษัท ได้ดำเนินการซื้อหุ้นคืนรวมทั้งสิ้นจำนวน 15.59 ล้านหุ้น คิดเป็น 2.86% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัท มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 83.64 ลบ. จากที่กำหนดวงเงินซื้อจำนวนไม่เกิน 200 ลบ. และจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 35 ล้านหุ้น ซึ่งจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนคิดเป็นจำนวน 6.41%
บริษัท เบาด์ แอนด์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) BEYOND
- กมลวรรณ วิปุลากร กรรมการผู้จัดการ
- กระทรวงการคลังถือหุ้นใหญอันดับ 2 จำนวน 31,200,000 หุ้น สัดส่วน 10.76%
- มาร์เก็ตแคป 2,016 ล้านบาท
- EBITDA 242 ล้านบาท
- EV/EBITDA 10.92 เท่า
- P/E - เท่า
- ราคาสูงสุด /ต่ำสุด รอบ 1 ปีที่ 10.20 / 5.90 บาท
- ราคาปิด ณ 7 ส.ค.2568 ที่ 6.95 บาท
- ผลตอบแทนราคา 5 วัน +0.72%
- เงินปันผลตอบแทน YTD -%
- กำไรสุทธิไตรมาส 1/68 ที่ 56 ล้านบาท
- รายได้สุทธิไตรมาส 1/68 ที่ 918 ล้านบาท
บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า BEYOND ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ +7% บน RevPAR +5% y-y จากค่าห้องพักเฉลี่ยปรับขึ้น 3% y-y และ OCC rate เพิ่มขึ้นเป็น 60% จาก 59% ในปีก่อน นอกจากนี้ยังเปิดตัวโรงแรมใหม่แบนด์ “Kaia” ในภาคใต้ ด้วยเงินลงทุน 650 ล้านบาท
บริษัท เอ็นอีพี อสังหาริมทรัพย์ และอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) NEP
- วีระชาติ โลห์ศิริ กรรมการผู้จัดการ
- กระทรวงการคลังถือหุ้นใหญอันดับ 2 จำนวน 295,847,860 หุ้น สัดส่วน 12.72%
- มาร์เก็ตแคป 535 ล้านบาท
- EBITDA 5 ล้านบาท
- EV/EBITDA 20 เท่า
- P/E 43.52 เท่า
- ราคาสูงสุด /ต่ำสุด รอบ 1 ปีที่ 0.38 / 0.16 บาท
- ราคาปิด ณ 7 ส.ค.2568 ที่ 0.23 บาท
- ผลตอบแทนราคา 5 วัน +4.55%
- เงินปันผลตอบแทน YTD -%
- กำไรสุทธิไตรมาส 1/68 ที่ 4 ล้านบาท
- รายได้สุทธิไตรมาส 1/68 ที่ 4 ล้านบาท
สำหรับ บริษัท เอ็นอีพี อสังหาริมทรัพย์ และอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) (NEP) ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปลี่ยนเครื่องหมาย C เป็น CB บนหลักทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียน มีผลวันที่ 25 มี.ค. 2567 เป็นต้นมา การดำเนินการหลักทรัพย์ดังกล่าวจะถูกเปลี่ยนเครื่องหมายจาก C เป็น CB ตามข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์ฯ เรื่อง มาตรการดำเนินการกรณีบริษัทจดทะเบียนมีเหตุการณ์ที่อาจมีผลกระทบต่อฐานะการเงินและการดำเนินธุรกิจ รวมถึง หลักทรัพย์ที่ถูกขึ้นเครื่องหมายข้างต้น จะต้องซื้อด้วยบัญชี Cash Balance (คือ สมาชิกต้องดำเนินการให้ลูกค้าวางเงินสดไว้ล่วงหน้ากับสมาชิกเต็มจำนวนก่อนซื้อหลักทรัพย์นั้น)ตั้งแต่วันที่ขึ้นเครื่องหมายเป็นต้นไป จนกว่าจะแก้เหตุดังกล่าวได้ และทุนชำระแล้วที่หักส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้นและ หรือส่วนต่ำจากการปรับโครงสร้างทางธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลังยังเข้าไปลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย TFFIF ถือหุ้นใหญอันดับ 1 จำนวน 457,000,000 หุ้น สัดส่วน 10.00% มาร์เก็ตแคป 27,877 ล้านบาท ราคาปิด ณ 7 ส.ค.2568 ที่ 6.10 บาท







