‘กลุ่มโรงพยาบาล’ คืนฟอร์มเด่น รับครึ่งปีหลังเสน่ห์แรง ‘ผู้ป่วยต่างชาติ’ ฟื้น หนุนกำไรโต 

‘กลุ่มโรงพยาบาล’ คืนฟอร์มเด่น รับครึ่งปีหลังเสน่ห์แรง ‘ผู้ป่วยต่างชาติ’ ฟื้น หนุนกำไรโต 

‘กลุ่มโรงพยาบาล ’คืนฟอร์มเด่น รับครึ่งปีหลังเสน่ห์แรง ‘ผู้ป่วยต่างชาติ’ ฟื้น หนุนกำไรโต ยึดตำแหน่ง “หุ้นปลอดภัย” ท่ามกลางเศรษฐกิจเปราะบาง และมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง

“กลุ่มโรงพยาบาล” หลังเผชิญแรงกดดันในครึ่งปีแรก จากการ “ลดลง” ของ “ผู้ป่วยต่างชาติ” รวมถึงความไม่แน่นอนของ “เศรษฐกิจโลก” สะเทือนกลุ่มหุ้นที่ถูกยกให้เป็น “หลุมหลบภัย” ในยามที่เศรษฐกิจ “ไม่สดใส” อย่าง กลุ่มโรงพยาบาล สอดรับราคาหุ้นโรงพยาบาลหลายตัวปรับตัว “ลดลง” อย่างมาก จนการประเมิน “มูลค่าหุ้น” (Valuation)​​ เข้าสู่ระดับที่ “น่าสนใจ” อีกครั้ง ซึ่งปัจจุบันระดับ P/E อยู่ที่ 15-20 เท่าเดิม 30 เท่า 

‘กลุ่มโรงพยาบาล’ คืนฟอร์มเด่น รับครึ่งปีหลังเสน่ห์แรง ‘ผู้ป่วยต่างชาติ’ ฟื้น หนุนกำไรโต 

ดังนั้น บรรดาเหล่า “นักวิเคราะห์” หลายสำนักมาให้มุมมองใน “เชิงบวก” ต่อหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล ในช่วงครึ่งปีหลังปี 2568 สะท้อนผ่านไตรมาส 3 ปี 2568 เข้าสู่ “ช่วงไฮซีซัน” (High Season) และมีโอกาสผลดำเนินงานฟื้นตัวแรง สอดรับแรงหนุนของคนไข้ต่างชาติที่เริ่มกลับเข้าสู่ระบบปกติ...

“กิจพณ ไพรไพศาลกิจ” รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า แม้ว่าในช่วงครึ่งปีแรก ผลประกอบการกลุ่มโรงพยาบาลอาจจะไม่สดใส โดยเฉพาะการลดลงของจำนวนผู้ป่วยต่างชาติ แต่สำหรับครึ่งปีหลังกลุ่มโรงพยาบาลยังคงมีความน่าสนใจ และถูกมองเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างปลอดภัยอยู่แล้ว 

ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลกลับมาน่าสนใจคือ Valuation หรือมูลค่าที่ลดลงอย่างมาก จากก่อนหน้านี้หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลมี P/E อยู่ในระดับประมาณ 30 เท่า แต่หลังจากที่ตลาดหุ้น “ซบเซา” ในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ P/E หุ้นกลุ่มดังกล่าวได้ “ถดถอย” ลงมาเหลือประมาณ 15-20 เท่า ทำให้ราคาหุ้นในกลุ่มโรงพยาบาลลดลงระดับ 30-50% นั่นหมายความว่าแม้ผลดำเนินงานอาจมีการชะลอตัว แต่ Valuation ที่ลดลงรวดเร็วกลับทำให้เป็น “โอกาส” ที่หุ้นโรงพยาบาลน่าสนใจ

อย่างไรก็ดี เปรียบเทียบกับหุ้นการแพทย์ในต่างประเทศ Valuation ของกลุ่มการแพทย์ไทยในปัจจุบันยังถือว่าถูกกว่า ซึ่งช่วย “ปิดความเสี่ยง” ได้ระดับหนึ่ง แม้ P/E อาจจะไม่สามารถกลับไปที่ระดับ 30 เท่าได้เร็วๆ นี้ แต่ที่ระดับ 20 เท่า หรือต่ำกว่านั้น ก็ถือเป็นระดับที่น่าสนใจ และมีดาวน์ไซด์ (Downside) ไม่มาก 

“หนึ่งในปัจจัยที่กดดันกลุ่มโรงพยาบาลคือ ความไม่แน่นอนของลูกค้าที่มาจากตะวันออกกลาง แต่จากการประชุมนักวิเคราะห์ล่าสุดของ บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH ได้ให้มุมมองที่เป็นบวกมากขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มของผู้ป่วยจากตะวันออกกลาง โดยเฉพาะผู้ป่วยจากประเทศคูเวต ซึ่งช่วยลดความกังวลในกลุ่มโรงพยาบาลขนาดใหญ่ โดยเฉพาะบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS และ BH”

อีกสาเหตุหนึ่งที่ส่งผลต่อจำนวนผู้ป่วยจากตะวันออกกลางคือ “การทำสาธารณสุขของประเทศตัวเองให้ดีขึ้น” หรืออาจเป็นผลมาจากการที่รายได้ของรัฐบาล โดยเฉพาะหลังราคาน้ำมัน และพลังงานที่ลดลง ซึ่งทำให้การส่งผู้ป่วยมารักษาภายนอกประเทศต้องถูกทบทวน

แต่ว่า “ประเทศไทย” ยังคงมีความได้เปรียบด้านการแข่งขันในเรื่องค่าใช้จ่ายการรักษาเทียบกับ “สิงคโปร์” หรือ “สหรัฐ” เว้นแต่จะมีคู่แข่งจากประเทศอื่นที่สามารถทำการรักษาได้มาตรฐานดีในราคาถูกกว่าไทย แต่เทียบกับคู่แข่งรายใหญ่ของโลกแล้ว ไทยยังไม่เสียเปรียบในเรื่องความถูกแพงหรือความคุ้มค่า

อย่างไรก็ตาม แม้ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่ “สังคมสูงวัย” ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยบวกในการใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล แต่การเติบโตธุรกิจในอนาคตอาจไม่เร่งตัวมากนัก และจำเป็นต้องขยายส่วนการเติบโตไปยังธุรกิจใหม่ๆ เช่น Wellness ซึ่งอาจจะไม่ได้มี “กำไร” ดีเท่ากับการรักษาพยาบาล บริษัทการแพทย์รายใหญ่หลายแห่งก็เติบโตจนมีขนาดใหญ่มาก ทำให้การเติบโตในระดับหวือหวาอาจไม่เกิดขึ้น เว้นแต่จะประสบความสำเร็จในการเป็นผู้เล่นระดับภูมิภาค โดยหุ้นที่น่าสนใจในกลุ่มโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ได้แก่ BDMS, บริษัทบางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH และ บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) หรือ CHG 

“ปิยะฉัตร รัตนสุวรรณ” นักวิเคราะห์อาวุโส บล.กสิกรไทย กล่าวว่า แม้ในช่วงครึ่งแรกกลุ่มโรงพยาบาลอาจดู “ไม่ค่อยสดใส” และมีข้อกังวลเกี่ยวกับผู้ป่วยต่างชาติที่ลดลง แต่ในภาพรวมแล้วยังคงเป็น “หุ้นที่คงทน” และ “ฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง” และยังมีเสน่ห์ หรือความปลอดภัย เนื่องจากธุรกิจโรงพยาบาลมีคุณสมบัติที่อุปสงค์จะไม่แปรผันตามภาวะเศรษฐกิจมากนัก รวมทั้งฐานะทางการเงินของโรงพยาบาลส่วนใหญ่ยังอยู่ใน “เกณฑ์ดีเยี่ยม”

ดังนั้น ผลดำเนินงานในครึ่งหลังจะดีกว่าครึ่งแรก ซึ่งเป็นแพทเทิร์นที่เห็นเกือบทุกๆ ปี เนื่องจากเป็น “High Season” หรือช่วงฤดูท่องเที่ยวสำหรับคนไข้ไทย และคนไข้จากตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นสัดส่วนรายได้ที่สำคัญ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 3 ปี 2568

สำหรับประเด็นที่ว่าประเทศในตะวันออกกลางมีการพัฒนาสาธารณสุขที่ดีขึ้นภายในประเทศ และอาจทำให้จำนวนผู้ป่วยที่เดินทางมารักษาลดลง เป็นข้อกังวลที่พูดถึงกันมาตลอด แต่หากดูจากแนวโน้มยังไม่มีข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนว่าคนไข้จากตะวันออกกลางหายไปจริง ๆ ยกตัวอย่าง แม้รายได้ของ BH อาจลดลง เนื่องจากสัดส่วนคนไข้ต่างชาติลดลง แต่หุ้นบริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด (มหาชน) หรือ PR9 และ BDMS กลับมีรายได้เพิ่มขึ้นจากกลุ่มนี้ ดังนั้น จึงไม่ได้บ่งบอกว่าคนไข้ตะวันออกกลางหายไปทั้งหมด

“แม้ว่าประเทศเหล่านั้นจะพยายามสร้างสิ่งอำนวยความสะดวก และซื้ออุปกรณ์การแพทย์เพิ่มขึ้น ซึ่งพวกเขามีเงินทุนในการสร้างตึก และซื้ออุปกรณ์ แต่สิ่งที่พวกเขาขาดแคลนคือ บุคลากรทางการแพทย์ แม้จะสามารถจ้างหมอจากที่ไหนก็ได้ทั่วโลก แต่แพทย์มักจะอยู่ไม่นาน และการขาดความต่อเนื่องนี้ทำให้ไม่สามารถทำการรักษาที่ต่อเนื่องได้”

“กรรณ์ หทัยศรัทธา” หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน และ นักเศรษฐศาสตร์ สายงานวิจัย บล.ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) กล่าวว่า BH ได้ให้แนวทางรายได้ในไตรมาส 3 ปี 2568 คาดว่าจะเติบโตประมาณ 3-5% ซึ่งการเติบโตนี้ส่วนใหญ่มาจาก การรักษาโรคที่รุนแรงและมีค่าใช้จ่ายสูงในประเทศ รวมถึงจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นโดยรวม

ทั้งนี้ ในส่วนของผู้ป่วยจากตะวันออกกลาง โดยเฉพาะจากคูเวตคาดว่าคนไข้จะยังไม่กลับมาในเร็ว ๆ นี้ แม้ว่า BH จะมี “ลูกหนี้การค้า” ที่เป็นผู้ป่วยชาวคูเวตจำนวนมาก แต่มั่นใจว่าจะไม่จำเป็นต้อง “ตั้งสำรองเพิ่มเติม” สำหรับกรณีคูเวตอีกแล้ว เนื่องจากได้ตั้งสำรองไปก่อนหน้านี้หมดแล้ว

“หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยจากตะวันออกกลางยังไม่กลับมาคือ ประเทศเหล่านั้นเริ่มพัฒนาสาธารณสุขของตนเองให้ดีขึ้น นอกจากนี้ BH ได้ปรับขึ้นค่ารักษาพยาบาลค่อนข้างมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้ค่ารักษาพยาบาลในไทยแพงขึ้น เมื่อเทียบกับบริการสาธารณสุขที่ประเทศเหล่านั้นกำลังจะเปิดให้บริการ”

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าราคาหุ้น BH จะมีการปรับตัวขึ้นมา และตลาดตอบรับเชิงบวก แต่คำแนะนำสำหรับการลงทุนในหุ้น BH กลับถูกดาวน์เกรด ราคาเป้าหมายสำหรับหุ้นบำรุงราษฎร์ถูกกำหนดไว้ที่ 152 บาท ขณะที่มุมมองต่อกลุ่มโรงพยาบาลโดยรวมชอบโรงพยาบาลเครือข่ายมากกว่า เมื่อเทียบกับ BH ที่เน้นผู้ป่วยต่างชาติเป็นหลัก โรงพยาบาลเครือข่ายเช่น BDMS จึงเป็นที่น่าสนใจ 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์