From Tariffs to Tailwinds

ในระยะสั้น ความกังวลเรื่องผลกระทบจาก Tariff อาจจะยังไม่หมดไปโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะฝั่งผู้บริโภคสหรัฐฯ ที่จะต้องแบกรับราคาสินค้าที่สูงขึ้นจากอัตราภาษีนำเข้าที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ข้อดีที่เริ่มชัดคือความเสี่ยงเชิงระบบลดลง ตลาดไม่ได้เทขายสินทรัพย์เสี่ยงแบบ panic และในบาง Sector ยังมีแรงเก็งกำไรกลับเข้ามา

ตลาดการหุ้นทั่วโลกเดือนที่ผ่านมายังคงเดินหน้าปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่สาม ตลาดหุ้นสำคัญๆ เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นยุโรป สามารถปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่หลังจากที่สหรัฐฯ สามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับประเทศคู่ค้าสำคัญ เช่น ยุโรป ญี่ปุ่น และรวมไปถึงประเทศต่างๆ รวมถึงไทยด้วย ซึ่งประเทศคู่ค้าสำคัญกับสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ได้มีการปรับลดอัตราภาษีต่ำกว่าที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้ จะมีประเทศสวิสเซอร์แลนด์ที่ถูกปรับขึ้นมาที่อัตรา 39% ขณะที่ คู่ค้าที่สำคัญที่สุดอย่างประเทศจีนนั้นยังคงมีการเจรจาและเลื่อนเส้นตายออกไป 

อย่างไรก็ตาม แม้ข้อตกลงดังกล่าวจะดูไม่สมดุลในเชิงภาษี เช่น สหภาพยุโรปยอมให้สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีสินค้าฝั่งยุโรปที่ 15% โดยที่ยังคงนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ โดยไม่มีภาษีแต่การที่ยุโรปเลือกไม่ตอบโต้ด้วยมาตรการภาษีสวนกลับ สะท้อนถึงท่าทีที่มุ่งรักษาเสถียรภาพมากกว่าการเผชิญหน้า สิ่งที่ตลาดมองว่าเป็นบวกไม่ใช่แค่การหลีกเลี่ยงความตึงเครียด แต่ยังรวมถึงการลดความไม่แน่นอนลงไปอย่างมากต่อภาคธุรกิจ แม้ภาษีใหม่จะสูงกว่าเดิม แต่ก็ชัดเจนและช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถวางแผนได้ ต่างจากช่วงก่อนหน้าที่มีการเปลี่ยนทิศทางนโยบายบ่อยครั้ง จนสร้างความไม่แน่นอนเป็นวงกว้าง 

ในฝั่งของยุโรป แม้การค้าจะได้รับผลกระทบโดยตรง แต่เศรษฐกิจยุโรปโดยรวมมีแนวโน้มรับมือได้ดีขึ้น ด้วยแรงหนุนจาก “ความต้องการในประเทศ” ที่กำลังฟื้นตัว โดยเฉพาะในเยอรมนีที่ใช้นโยบายการคลังแบบขยายตัวมากขึ้น หลังจากก่อนหน้านี้ให้ความสำคัญกับวินัยการคลังมาอย่างยาวนาน อีกหนึ่งจุดสังเกตสำคัญ คือ ยุโรปไม่ได้หยุดอยู่แค่การประคองเศรษฐกิจในช่วงเปลี่ยนผ่านของนโยบายการค้าเท่านั้น แต่ยังใช้โอกาสนี้เร่งลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและกลาโหม อย่างมีนัยสำคัญ โดยที่การประชุม NATO ล่าสุดบ่งชี้ว่า ยุโรปมีแผนจะเพิ่มงบกลาโหมขึ้นเป็น 5% ของ GDP ภายในทศวรรษหน้า ซึ่งเท่ากับว่าเฉพาะ 5 ประเทศหลักของ EU จะต้องเพิ่มงบจาก 220 พันล้านยูโร เป็นเกือบ 590 พันล้านยูโร ขณะที่แผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในเยอรมนีเองก็ตั้งเป้าทุ่มงบพิเศษกว่า 500 พันล้านยูโรใน 10 ปีข้างหน้า 

มุมมองจากนักลงทุนคือ การเปลี่ยนผ่านนโยบายของยุโรปในครั้งนี้ เป็นการขยับ “นโยบายเศรษฐกิจมหภาค” ไปสู่ด้านที่กระตุ้นการเติบโตมากขึ้น โดยไม่ต้องพึ่งพานโยบายการเงินเท่าเดิม ซึ่งหากบริหารได้ดี จะส่งผลเชิงบวกต่อความน่าเชื่อถือของยุโรประยะกลางถึงยาว พร้อมเปิดโอกาสให้เม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้าสู่ยุโรปได้มากขึ้นตามความต้องการกระจายการลงทุนออกนอกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ เพิ่มมากขึ้น นักลงทุนควรมองการปรับนโยบายทางการค้าในรอบนี้ ไม่ใช่แค่ในฐานะของ “ภาษี” แต่เป็นจุดเริ่มต้นของ ปรับสมดุลทางเศรษฐกิจ ทั้งของสหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งแม้จะมีความเสี่ยงเชิงนโยบายบางจุดให้ติดตามต่อ แต่ก็อาจกลายเป็น “reset” ครั้งสำคัญ ที่เปิดโอกาสให้การลงทุนในภูมิภาคยุโรปกลับมามีบทบาทมากขึ้นอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้น ความกังวลเรื่องผลกระทบจาก Tariff อาจจะยังไม่หมดไปโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะฝั่งผู้บริโภคสหรัฐฯ ที่จะต้องแบกรับราคาสินค้าที่สูงขึ้นจากอัตราภาษีนำเข้าที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ข้อดีที่เริ่มชัดคือความเสี่ยงเชิงระบบลดลง ตลาดไม่ได้เทขายสินทรัพย์เสี่ยงแบบ panic และในบาง Sector ยังมีแรงเก็งกำไรกลับเข้ามา โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่ดัชนีกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีที่ยังไม่ทำกำไร (non-profitable tech) กลับ outperform ตลาดอีกครั้งในไตรมาสที่สอง ขณะที่บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ก็ยังแสดงความแข็งแกร่งของผลประกอบการณ์อย่างต่อเนื่องภายหลังที่มีการประกาศงบการเงินไตรมาส 2 ซึ่งในภาพรวมหุ้นในกลุ่ม 7 นางฟ้า ที่มีการประกาศงบไปแล้ว 6 ใน 7 บริษัท มีกำไรสุทธิต่อหุ้นที่โตกว่า 26% เมื่อเทียบจากปีที่ผ่านมา ส่งผลให้หุ้นบางบริษัทในกลุ่มนี้ปรับตัวขึ้นสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

ทั้งนี้ ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงและขอคำแนะนำจากผู้แนะนำการลงทุนของท่านเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน ข้อมูลนี้จัดทำโดยอาศัยที่มาจากแหล่งข้อมูลสาธารณะซึ่งปรากฎขณะจัดทำ ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปแต่ละขณะ ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน