ดาวโจนส์ลงกว่า 200 จุด S&P 500 ติดลบ ขณะภาษีตอบโต้ของทรัมป์มีผล

ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดร่วงลงมากกว่า 200 จุด ในวันพฤหัสบดี ขณะที่ภาษีตอบโต้ของประธานาธิบดีทรัมป์ มีผลบังคับใช้ นักลงทุนขายทำกำไรจากหุ้น ที่ปรับขึ้นในช่วงวันก่อนหน้า
ซีเอ็นบีซี รายงานภาวะตลาดหุ้นวอลล์สตรีท วันพฤหัสบดี (7 ส.ค.68) หรือเมื่อคืนที่ผ่านมาตามเวลาประเทศไทยว่า ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวลดลงอีกครั้ง และปิดตลาดในวันพฤหัสบดี เนื่องจากนักลงทุนทยอยเก็บกำไรบางส่วนจากหุ้นขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
ดัชนีดาวโจนส์ Dow Jones Industrial Average ซึ่งประกอบด้วยหุ้น 30 ตัว ลดลง 224.48 จุด หรือ 0.51% ปิดที่ 43,968.64 จุด
ดัชนี S&P 500 ลดลง 0.08% ปิดที่ 6,340.00 จุด
ส่วนดัชนีแนสแด็ก Nasdaq Composite เพิ่มขึ้น 0.35% ปิดที่ 21,242.70 จุด
ดัชนีหลักๆ ผันผวนอย่างรุนแรงในช่วงการซื้อขาย โดยดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้นมากกว่า 300 จุดในช่วงสูงสุด และลดลงมากกว่า 390 จุดในช่วงต่ำสุด
ดัชนีดาวโจนส์ซึ่งเป็นหุ้นบลูชิพถูกกดดันจากการลดลงของราคาหุ้น Caterpillar
ที่ร่วงลง 2.5% หลังจากที่ผู้ผลิตอุปกรณ์ก่อสร้างรายนี้ออกมาเตือนถึงผลกระทบของภาษีศุลกากรต่อธุรกิจของบริษัท
Eli Lilly เป็นอีกหุ้นตัวหนึ่งที่ตกต่ำอย่างมากในช่วงการซื้อขาย โดยร่วงลงหนักประมาณ 14% หลังจากผลการทดลองขั้นสุดท้ายของยารักษาโรคอ้วนทำให้นักลงทุนผิดหวัง แม้ว่าบริษัทยายักษ์ใหญ่แห่งนี้จะประกาศผลประกอบการไตรมาสที่สองที่สูงกว่าที่วอลล์สตรีทคาดการณ์ไว้ และปรับเพิ่มคาดการณ์ทั้งปีขึ้นก็ตาม
นักลงทุนมองข้ามภาษีศุลกากร
หุ้นปรับตัวสูงขึ้นในช่วงแรกในวันพฤหัสบดี หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเมื่อวันก่อนว่าเขาจะจัดเก็บภาษีนำเข้า ชิป เซมิคอนดักเตอร์ 100% แต่จะยกเว้นให้สำหรับบริษัทที่ "กำลังก่อสร้างโรงงานผลิตในสหรัฐอเมริกา"
การประกาศดังกล่าวส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่อย่าง Advanced Micro Devices ปรับตัวสูงขึ้น 5.7% กองทุนอีทีเอฟ VanEck Semiconductor ETF ปรับตัวสูงขึ้นมากกว่า 1%
หุ้น Apple ปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 3% หลังจากที่ผู้ผลิต iPhone ประกาศแผนการที่จะใช้จ่ายลงทุนเพิ่มอีก 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ กับบริษัท และซัพพลายเออร์ของสหรัฐ ในช่วงสี่ปีข้างหน้า ซึ่งเพิ่มขึ้นจากการประกาศมูลค่าลงทุน 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐที่ Apple ได้ประกาศไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์
“เราจะเก็บภาษีนำเข้าชิป และเซมิคอนดักเตอร์ในอัตราที่สูงมาก” ทรัมป์กล่าวในห้องทำงานรูปไข่เมื่อวันพุธ “แต่ข่าวดีสำหรับบริษัทอย่าง Apple คือ หากคุณสร้างโรงงานในสหรัฐอเมริกา หรือให้คำมั่นสัญญาว่าจะสร้างในสหรัฐอเมริกาอย่างไม่ต้องสงสัย จะไม่มีการเรียกเก็บภาษีนำเข้าใดๆ”
ตลาดได้เพิกเฉยต่อมาตรการ “ภาษีแบบตอบโต้” ของรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งมีผลบังคับใช้ในวันพฤหัสบดี นอกจากนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุด รวมถึงการยื่นขอสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจสหรัฐ อาจยังคงแข็งแกร่ง ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากตัวเลขการจ้างงานในเดือนกรกฎาคม ที่อ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ไว้ ส่งผลกระทบต่อตลาดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
“ตอนนี้มีหลายสิ่งที่ต้องวิเคราะห์เกี่ยวกับภาษีศุลกากร และการค้า และโดยปกติแล้ว เมื่อคุณเห็นความซับซ้อนมากมายเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมมหภาคที่ไม่ได้ส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจหรือผลกำไรในทันที ตลาดก็จะ... มองข้ามมันไป” แอนโทนี แซกลิมบีน หัวหน้านักกลยุทธ์ตลาดของ Ameriprise กล่าว “ตลาดกำลังมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่สามารถจับต้องได้ในขณะนี้ ซึ่งยังคงเป็นพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และผลประกอบการที่แข็งแกร่ง”
เขาคาดว่า ผลกระทบทางลบจากมาตรการภาษีของทรัมป์จะเริ่มปรากฏในข้อมูลเศรษฐกิจในช่วงฤดูใบไม้ร่วง
ต่อมาในวันพฤหัสบดี ทรัมป์ประกาศว่าเขาได้เลือกสตีเฟน มิรัน ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจ ให้ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เขาจะเข้ามาแทนที่เอเดรียนา คูเกลอร์ หลังจากการลาออกของเธอในวันศุกร์
ดัชนีหลักๆ มีแนวโน้มว่าจะเป็นสัปดาห์แห่งการปรับขึ้น ณ สิ้นวันพฤหัสบดี ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 1.6% ในช่วงเวลาดังกล่าว ขณะที่ดัชนีดาวโจนส์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 0.9% ดัชนีแนสแด็กคอมโพสิตคาดว่าจะพุ่งขึ้น 2.9%
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







