ตลท.หวัง‘ฟันด์โฟลว์’ไหลเข้าต่อ ลุ้นMSCI-FTSEเพิ่มน้ำหนัก

ตลท. หวัง “ฟันด์โฟลว์” ไหลเข้าต่อ รับปัจจัยหนุนเดือนส.ค. เพียบ สร้างโมเมนตัมบวก หลัง “หุ้นTHAI” กลับสู่กระดานเทรดคึกคัก-ลุ้น “MSCI-FTSE” จ่อปรับเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทย
KEY
POINTS
- ตลาดหุ้นไทยเดือน ก.ค. 68 มีสัญญาณฟื้นตัว โดยมีเงินทุนต่างชาติ (Fund Flow) ไหลกลับเข้ามาซื้อสุทธิกว่า 1.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นการซื้อสุทธิครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน ก.ย. 67
- ตลท. คาดหวังว่ากระแสฟันด์โฟลว์จะไหลเข้าต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสำคัญคือการลุ้นให้ MSCI และ FTSE ประกาศปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทยในเร็วๆ นี้
- ปัจจัยบวกอื่นๆ ที่ช่วยหนุนตลาด ได้แก่ การกลับมาซื้อขายของหุ้นการบินไทย (THAI) ซึ่งมีมูลค่าสูง, มาตรการภาษีที่เป็นบวก และแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ดีขึ้น
- ตลท. เดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นเพื่อดึงดูดเงินลงทุนจากต่างชาติผ่านหลายมาตรการ เช่น ความคืบหน้าคดีหุ้น MORE และการจัดงาน Thailand Focus 2025
ในช่วงเดือนก.ค. 2568 ปัจจัยที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือ “ดัชนีหุ้นไทย” เพิ่มขึ้น 14% จากเดือนก่อนหน้า และที่สำคัญคือ “เงินลงทุนจากต่างชาติ” (Fund Flow) ที่กลับมาซื้อสุทธิสูงถึง 16,121 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการกลับมาซื้อสุทธิเป็นครั้งแรกตั้งแต่เดือนก.ย.2567 โดยเงินลงทุนส่วนใหญ่มาจากนักลงทุนต่างชาติคิดเป็นสัดส่วนถึง 50% ของปริมาณการซื้อขายทั้งหมด
นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ภาวะตลาดหลักทรัพย์ฯ เดือนก.ค. 2568 ถือว่า “อยู่ในสถานการณ์ที่ดีขึ้น” จากหลายปัจจัยหนุนทั้งดัชนีหุ้นไทยเพิ่มขึ้น 14% จากเดือนก่อนหน้า และเงินลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) ซื้อสุทธิ 16,121 ล้านบาท เป็นการกลับมาซื้อสุทธิเดือนแรกตั้งแต่ก.ย. 2567
โดยหลายปัจจัยส่งสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้น ทั้งมาตรการภาษีทรัมป์ 19% ใกล้เคียงภูมิภาค ส่งผลบวกต่ออุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศที่สูง และเงินลงทุนออกจากสหรัฐกลับเข้าสู่ “ตลาดเกิดใหม่” (Emerging Markets) ด้วยราคาหุ้น (Valuation) น่าสนใจ และแนวโน้มการแข็งค่าของ “เงินบาท” มักช่วยให้มีเงินทุนไหลเข้า และดัชนีหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงการปรับ “จีดีพีไทย” ปีนี้ขยับขึ้นจาก 2.0% เป็น 2.1% ของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โดยได้จากแรงหนุนของการบริโภคเอกชน การลงทุนภาครัฐ และส่งออกยังขยายตัว
ขณะเดียวกัน ยังคงคาดหวังโมเมนตัม “เชิงบวก” ต่อแนวโน้มตลาดหุ้นไทยและกระแสฟันด์โฟลว์ในระยะข้างหน้าต่อเนื่อง จากตั้งแต่ต้นเดือนส.ค. มานี้ ตลาดหุ้นไทยยังคงมีปัจจัยหนุนอีกหลายเรื่อง ทั้งการกลับมาเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ของหุ้นบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI อีกครั้งได้สร้างบรรยากาศ “ความคึกคัก” ในตลาดหุ้นไทย และถือเป็นหุ้นขนาดใหญ่เข้ามา ด้วยมูลค่ามาร์เก็ตแคปถึงระดับ 300,000 ล้านบาท
ลุ้น MSCI-FTSE จ่อปรับเพิ่มน้ำหนัก “หุ้นไทย”
และที่สำคัญ “หุ้นไทย” มีโอกาสถูกปรับเพิ่มน้ำหนักใน “ดัชนี MSCI” ซึ่งรอติดตามประกาศผลในวันนี้ (8 ส.ค. 2568) และ FTSE ประกาศในสัปดาห์หน้า ซึ่งจะเพิ่มโอกาสที่ “เงินทุนจะไหลเข้าหุ้นไทย” หลังจากมาตรการภาษีทรัมป์กับประเทศไทยมีความชัดเจนแล้ว
รวมถึงเดินหน้าฟื้นความเชื่อมั่นตลาดหุ้นไทยได้ และดึงเงินลงทุนต่างประเทศกลับเข้ามาต่อเนื่อง จากคดีหุ้น บริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ MORE ที่ความคืบหน้ามากขึ้น และดำเนินการสั่งฟ้องผู้กระทำผิดทางคดีอาญา และในวันที่ 27 ส.ค.นี้ ตลท. จะมีการจัดงาน “Thailand Focus 2025” ภายใต้ธีม Beyond the Challenges พลิกความท้าทาย สู่โอกาสใหม่ทางเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศไทย
นอกจากนี้ เตรียมนำเสนอโครงการส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัทจดทะเบียน (JUMP+) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในตลาดทุนไทยปัจจุบันมีบริษัทที่เข้าร่วมโครงการอย่างเป็นทางการแล้ว 3 แห่ง ได้แก่ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC และ บริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) หรือ SUN ในตลาด SET และบริษัท ซีแพนเนล จำกัด (มหาชน) หรือ CPANEL ในตลาด mai และคาดว่าจะมีบริษัทจดทะเบียนอื่นๆ เข้าร่วมโครงการอีกกว่า 80 บริษัทในอนาคตที่กำลังอยู่ระหว่างดำเนินการอนุมัติภายในบริษัท ยังต้องรอติดตามว่าจะมียื่นสมัครจริงแค่ไหน โดยได้ให้ทีมงานตลท. เข้าไปติดตามทำความเข้าใจ เพราะถือว่าเป็นจำนวนที่ค่อนข้างเกินความคาดหมายไว้
ยังมี “ปัจจัยเสี่ยง” ต้องติดตามต่อ
นายอัสสเดช กล่าวต่อว่า ในช่วงที่เหลือของปีนี้ แม้จะมีหลายปัจจัยหนุนต่อตลาดหุ้นไทย แต่เรายังนิ่งนอนใจไม่ได้ โดยยังมีปัจจัยเสี่ยงต่อตลาดหุ้นไทยที่ต้องติดตาม โดยเฉพาะปัจจัยนอกประเทศ คือ สงครามการค้าทั่วโลก การเจรจาภาษีทรัมป์ในหลายประเทศยังมีความไม่แน่นอน และที่เก็บไทย 19% จะมีเงื่อนไขที่ส่งผลต่อภาคธุรกิจไทยและเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังอย่างไรบ้าง รวมถึงแนวโน้มลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งเฟดอาจไม่ได้ลดดอกเบี้ยเร็ว
ขณะที่ ปัจจัยในประเทศได้แก่ การประกาศกำไรบจ. ไตรมาส 2 ปีนี้ จะออกมาดี สอดคล้องกับจีดีพีไทยไตรมาส 2 ปีนี้ที่ปรับดีขึ้นหรือไม่ และหลังจากดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นถึง 14% ในเดือนก.ค. มองว่าอาจต้องระวังความเสี่ยงจากแรงขายทำกำไร ซึ่งวอลุ่มที่เพิ่มขึ้นกระจายทุกกลุ่มนักลงทุนแต่นักลงทุนต่างชาติยังเป็นส่วนใหญ่ 50% รายย่อยในประเทศ 30% และ 20% เป็นบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.)
ส่วนทางด้านปัจจัยที่ตลาดยังคงกังวล โดยเฉพาะ ความไม่แน่นอนการเมืองในประเทศ แต่เรามองว่า เป็นปัจจัยที่นักลงทุนติดตามมาอย่างต่อเนื่อง และรับข่าวสะท้อนในราคาหุ้นแล้ว ที่ผ่านมาไม่ว่าการเมืองในประเทศจะเป็นอย่างไร ภาคธุรกิจไทยยังเดินหน้าสร้างการเติบโตได้
รวมถึงราคาหุ้น THAI ที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง และมีผลต่อดัชนีหุ้นไทยนั้น ก็มองว่า ยังสอดคล้องกับสตอรี่ความเป็นหุ้นใหญ่ที่มีความสำคัญตลาดหุ้นไทยและเป็นตัวอย่างที่ดีของบริษัทที่สามารถฟื้นฟูกิจการกลับมาได้ อีกทั้งไม่มีโอกาสที่จะเข้าข่ายเหมือนหุ้น DELTA เพราะจะมีฟีโฟลตแท้จริงตามเงื่อนไขล็อกอัพหุ้น และตลท.ยังมีมาตรการกำกับการซื้อขายหุ้นตรวจจับหุ้นที่มีการซื้อขายผิดปกติ เพื่อดูแลไม่ให้มีผลต่อดัชนี
“แม้ว่าหุ้นไทยจะมีหลายข่าวดีช่วงนี้ เป็นสตอรี่ที่เราต้องสร้างความเชื่อมั่นดึงเม็ดเงินนักลงทุนต่างชาติ แต่ยังมีความเสี่ยงระยะสั้น ที่ติดตาม ทำให้นิ่งนอนใจไม่ได้ แต่เราต้องทำควบคู่มองในระยะยาวดึงดูดฟันด์โฟลว์ ด้วยการเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เพิ่มมูลค่าธุรกิจให้แข่งขันและทำกำไรเติบโตต่อได้ เป็นนิวสตอรี่ที่เกี่ยวข้องกับตลาดหุ้นไทย คงเป็นทางด้านความยั่งยืน (ESG)ที่เป็นจุดขายที่แข็งแกร่งของเรา”
“ไทยแลนด์โฟกัส” ต่างชาติกว่า 100 กองทุนรับตอบ
นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ ตลท. กล่าวว่า เราคาดหวัง หุ้นไทยมีโอกาสถูกปรับเพิ่มน้ำหนักในดัชนี MSCI ยังต้องติดตาม จะถูกปรับน้ำหนักขึ้นเท่าไหร่จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.4% ซึ่งหุ้นไทยเคยมีสัดส่วนสูงสุดถึง 2% เพราะขณะนี้มี 7 กองทุนต่างประเทศขนาดใหญ่ มีนโยบายการลงทุนแบบPassive Fund ลงทุนตามดัชนี คิดเป็นสัดส่วน 70% ของกองทุนที่ลงตามดัชนี และหลายกองทุนขณะนี้ยังคงมีนโยบาย underweight หุ้นไทยอยู่ ถ้า MSCI ปรับน้ำหนักดัชนี ช่วยเพิ่มโอกาสที่เงินทุนต่างชาติจะไหลเข้าหุ้นไทย
ขณะที่งาน Thailand Focus 2025 ไฮไลท์สำคัญ คือ การถอดรหัสทิศทางเศรษฐกิจไทย นโยบายรัฐและมาตรการสำคัญต่ออนาคตเศรษฐกิจการเงินไทย เจาะลึกมุมมองจากภาคเอกชน ถึงศักยภาพการแข่งขันและแนวโน้มการลงทุนของประเทศไทย การท่องเที่ยว เทคโนโลยีเพื่อสุขภาพ รวมถึงหัวข้ออื่นๆ ที่น่าสนใจ ร่วมมองภาพอนาคตประเทศไทย ไปพร้อมกัน ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนกว่า 100กองทุนต่างประเทศเช่นเดียวกับปีก่อน







