‘บินไทย’ หวนเทรดวันแรก10 บ.โบรกเกอร์ยก ‘ธุรกิจฟื้นแกร่ง’ หนุน ‘มาร์เก็ตแคป’ แตะ 1.94 แสนล้าน

‘บินไทย’ หวนเทรดวันแรก10 บ.โบรกเกอร์ยก ‘ธุรกิจฟื้นแกร่ง’ หนุน ‘มาร์เก็ตแคป’ แตะ 1.94 แสนล้าน “บล.กรุงศรี” ชี้ THAI หลังออกจากฟื้นฟู คาดกำไรปกติปีนี้ 2.6 หมื่นล้าน เพิ่มขึ้น 25%
บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI ได้ออกจากแผนฟื้นฟูแล้ว นับตั้งแต่วันที่ 16 มิ.ย.2568 หลังเข้าแผนฟื้นฟูตั้งแต่ มิ.ย. 2564 และจะกลับมาซื้อ-ขาย ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) อีกครั้ง ในวันนี้ (4 ส.ค.2568) ซึ่งเป็นหุ้นเดิม 2.2 พันล้านหุ้น ส่วนหุ้นใหม่ติด Lock up period หลังจากหยุดการซื้อ-ขาย ตั้งแต่ 16 พ.ค.2563 ราคาปิดสุดท้ายที่ 3.32 บาท
“กรรณ์ หทัยศรัทธา” หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน และนักเศรษฐศาสตร์ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า หุ้น THAI มีกำหนดจะกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกครั้งในวันนี้โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 10.80 บาท มาจากการประเมิน EV และ EBITDA ที่ระดับ 5.5 เท่า ในปี 2569 ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของบริษัทในอนาคต
ทั้งนี้ ปัจจัยที่เข้ามาสนับสนุนเชิงบวกต่อหุ้น THAI เหตุผลสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ การบินไทยจะเปลี่ยนสถานะจากรัฐวิสาหกิจไปสู่การเป็นองค์กรเชิงพาณิชย์มากขึ้น คาดทำให้ “กำไร” เติบโตขึ้น และการดำเนินงานรวมถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ จะมุ่งเน้นการแสวงหาผลกำไรมากขึ้น ทำให้ผลประกอบการดีขึ้น
รวมถึงภาวะขาดแคลนเครื่องบิน เพราะตั้งแต่หลังวิกฤติโควิด-19 การลงทุนในธุรกิจการบิน และเครื่องบินลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้เกิดภาวะเครื่องบินไม่เพียงพอ สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้การแข่งขันด้านราคามีน้อยลง ทำให้การบินไทยมีความสามารถในการกำหนดราคาตั๋วได้สูงขึ้น และราคาน้ำมันเครื่องบินอยู่ในทิศทางขาลง ซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญในการดำเนินงานของสายการบิน การลดลงของราคาน้ำมันจึงเป็นผลดีต่อการบินไทย
ในส่วน “มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด” หรือ “มาร์เก็ตแคป” ปัจจุบัน THAI อยู่ที่ราว 93,000-94,000 ล้านบาท หรือราว 2,900 ล้านดอลลาร์ มองการที่ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นไปจนทำให้มาร์เก็ตแคปขึ้นไปแตะระดับ “แสนล้านบาท” นั้น “ไม่ยาก” และมีโอกาสที่จะเห็นได้ในปีหน้า แต่ทว่าการจะเข้าสู่ SET50 หรือ SET100 ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้อาจยังไม่ทัน
“ดิษฐนพ วัธนเวคิน” นักวิเคราะห์การลงทุนพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ บล.กรุงศรี พัฒนสิน เปิดเผยว่า การกลับมาซื้อขายอีกครั้ง มองว่าจากการเข้าฟื้นฟูกิจการช่วงที่ผ่านมา ทำให้ THAI ฟื้นกลับมาแข็งแกร่ง และฐานะการเงินค่อนข้างมั่นคงคาดมีกำไรปกติระดับ 20,000 ล้านบาท จากผลประกอบการช่วงปี 2566 และ ปี 2567 มีกำไรปกติระดับ 26,000 ล้านบาท และ 21,000 ล้านบาท
ขณะที่ จากการปรับโครงสร้างทุน ทำให้ THAI กลับมามีส่วนผู้ถือหุ้นเป็นบวก ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2568 อยู่ที่ระดับ 50,000 กว่าล้านบาท รวมถึงมีส่วนที่เป็นเงินสด และเทียบเท่าเงินสดที่ 120,000 ล้านบาท มองสภาพคล่องเพียงพอต่อภาระหนี้ปัจจุบันใกล้ 120,000 ล้านบาท แต่จะมีการทยอยชำระในช่วง12 ปีข้างหน้า
สำหรับคำแนะนำลงทุนว่า หากราคาเปิดในวันนี้ “ต่ำกว่า” ราคาเป้าหมาย เรามองเป็นโอกาสเข้าลงทุน แต่หาก “สูงกว่าหรือใกล้เคียง” ราคาเป้าหมาย ความน่าสนใจเข้าลงทุนอาจน้อยลงประเมินราคาเป้าหมายไว้ที่ 7.65 บาท (อ้างอิง EV/EBITDA ของกลุ่มอุตสาหกรรมสายการบินในภูมิภาคเอเชียที่ 4.5 เท่า)
“พิสุทธิ์ งามวิจิตวงศ์” ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า 24 ก.ค.68 ที่ผ่านมา ได้จัดงาน KS C-Serie ร่วมกับ THAI ประเมินหลังเข้าแผนฟื้นฟู THAI ได้ทำการปรับโครงสร้างต้นทุนโดยได้ทำการลดจำนวนพนักงานลงจาก 35,700 คนในปี 2562 เหลือ 22,881 คนในไตรมาส 1 ปี 2568 ส่งผลให้อัตราส่วน ค่าใช้จ่ายพนักงานต่อรายได้ลดลงจาก 23% ในช่วงก่อนเข้าแผนฟื้นฟูเหลือเพียง 10.7%
รวมถึง THAI ได้ทำการลดจำนวนฝูงบินลงจาก 103 ลำ 8 ประเภท ในปี 2562 เหลือ 78 ลำ 6 ประเภท ในไตรมาส 1 ปี 2568 ทั้งนี้ ในระยะยาวผู้บริหาร THAI ได้ตั้งเป้าจะลดประเภทของฝูงบินให้เหลือ 4 ประเภท และคาดว่าจะขยายฝูงบินเป็น 150 ลำ ในปี 2576
ขณะเดียวกัน THAI ยังสั่งเครื่อง Boeing 787s ทั้งหมด 45 ลำ โดยมี option เพิ่มได้อีก 35 ลำ ซึ่งจะเริ่มส่งมอบตั้งแต่ปี 2570 เป็นต้นไป และ THAI จะเพิ่มเครื่องบิน narrow body A321 NEO อีก 32 ลำ เพื่อขยายเส้นทางบินใน short-haul
อย่างไรก็ตาม THAI ได้รายงานต้นทุนค่าโดยสารค่าหรือ capacity (ASK) ปี 2567 ที่ 65,696 ล้านบาท ยังต่ำกว่าปี 2562 ที่ 90,622 ล้านบาท สะท้อนถึงโอกาสในการขยาย capacity อย่างก้าวกระโดดในช่วง 2-3 ปี ข้างหน้า
“พิริยพล คงวาณิช” นักกลยุทธ์ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุนเพื่อบริหารความมั่งคั่ง บล.บัวหลวง กล่าวว่า ประมาณการ และ Valuation เบื้องต้นเชิงกลยุทธ์ คาดกำไรหลักปี 2568 อยู่ในช่วง 18,000-25,000 ล้านบาท โดยใช้วิธี PER 5-9 เท่า ให้กรอบมูลค่าพื้นฐานเบื้องต้นที่ 3.20-7.90 บาทต่อหุ้น หากอิง PER เทียบเคียงอุตสาหกรรมในประเทศ (8x) และภูมิภาค (9x) ได้ราคาเป้าหมายที่เหมาะสมในเชิงกลยุทธ์ อยู่ที่ 5.50-6.80 บาท คิดเป็นมาร์เก็ตแคปราว 155,000-194,000 ล้านบาท
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์






