นับถอยหลัง 1 วัน! ลุ้นดีลไทย–สหรัฐฯ ลดภาษีต่ำกว่า 36% หวังหนุนส่งออก–เศรษฐกิจครึ่งปีหลัง

บล.เอเซีย พลัส คาดการณ์ว่าไทยอาจถูกเก็บภาษีในกรอบ 15%-20% เนื่องจากมูลค่าผลประโยชน์ที่สหรัฐฯ จะได้รับจากข้อเสนอของไทย (12.5 – 14 พันล้านเหรียญฯ) ใกล้เคียงกับของอินโดนีเซีย, ยุโรป และเวียดนามผลจากการคาดการณ์เชิงบวกต่อการส่งออก ทำให้กระทรวงการคลังปรับเพิ่มประมาณการ GDP ปี 68 เป็น 2.2% และคาดว่าดีลที่ดีจะช่วยหนุนเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง
KEY
POINTS
- เหลือเวลาอีก 1 วัน ก่อนที่มาตรการภาษี (TARIFF) ของสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ส.ค. 68
- ประเทศไทยได้ส่งข้อเสนอการค้ารอบสุดท้ายให้กับสหรัฐฯ แล้ว และกำลังลุ้นว่าสหรัฐฯ จะเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำกว่า 36% หรือไม่
- บล.เอเซีย พลัส คาดการณ์ว่าไทยอาจถูกเก็บภาษีในกรอบ 15%-20% เนื่องจากมูลค่าผลประโยชน์ที่สหรัฐฯ จะได้รับจากข้อเสนอของไทย (12.5 – 14 พันล้านเหรียญฯ) ใกล้เคียงกับของอินโดนีเซีย, ยุโรป และเวียดนาม
- ผลจากการคาดการณ์เชิงบวกต่อการส่งออก ทำให้กระทรวงการคลังปรับเพิ่มประมาณการ GDP ปี 68 เป็น 2.2% และคาดว่าดีลที่ดีจะช่วยหนุนเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง
- รัฐบาลเตรียมจัดสรรงบประมาณราว 1 หมื่นล้านบาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยเหลือผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ
บล.เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า นับถอยหลัง 1 วัน ก่อนที่มาตรการ TARIFF จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ส.ค. 68 โดยสหรัฐฯ ทยอยประกาศข้อตกลงทางการค้ารอบใหม่ เพื่อแลกกันการปรับลดอัตราภาษีให้กับหลายประเทศ ทั้งอังกฤษ, เวียดนาม, อินโดนีเซีย, จีน,ฟิลิปปินส์, ญี่ปุ่น,ยุโรป รวมถึงกลุ่มประเทศเล็ก อาทิละตินอเมริกา, แคริบเบียน,แอฟริกา ที่จะถูกเก็บภาษีพื้นฐานที่ 10% ส่วน “เกาหลีใต้” บรรลุดีลการค้ากับสหรัฐฯแล้ว โดยได้ภาษีนำเข้าเหลือ 15% จาก 25% แลกกับจะซื้อก๊าซ LNG และผลิตภัณฑ์พลังงานอื่น ๆ มูลค่า 1 แสนล้านเหรียญฯในช่วง 3 ปีข้างหน้า บวกกับลงทุนโครงการในอเมริกา 3.50 แสนล้านเหรียญฯ
ส่วนประเทศไทย ได้ส่งดีลรอบสุดท้ายในให้กับสหรัฐฯแล้ว ลุ้นสหรัฐฯ เก็บภาษีต่ำกว่า 36% หรือไม่ ? อย่างไรก็ตามหากประเมินมูลค่าผลประโยชน์ที่สหรัฐฯ จะได้รับจากข้อเสนอของ “ไทย” คาดการณ์ว่าจะอยู่ราว 12.5 – 14 พันล้านเหรียญฯ ซึ่งใกล้เคียงกับมูลค่าที่ประเมินไว้ของอินโดนีเซีย, ยุโรป และเวียดนาม ทำให้เกิดความคาดหวังว่าสหรัฐฯ จะเก็บภาษีไทยในระดับที่ไม่ต่างกันมาก คาดอยู่ในกรอบ 15%-20%
ทั้งนี้ จึงทำให้กระทรวงการคลังปรับเพิ่ม GDP ปี 68 โต 2.2% ดีกว่าประมาณการครั้งก่อนเดือนเม.ย.68 ที่ 2.1% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการผลิตภาคอุตสาหกรรม และการส่งออกที่ขยายตัวดีกว่าที่คาดไว้ ประกอบกับการบริโภคภายในประเทศ ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นทิศทางเดียวกันกับ ธปท. และ ADB ที่ปรับเพิ่มประมาณการ GDP ไทย เช่นกัน อย่างไรก็ตามแม้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ดีในช่วงครึ่งปีแรก แต่จำเป็นต้องติดตามทิศทางเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง ไว้ให้ดีที่อาจเผชิญความท้าทายจากแรงกดดันจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบต่อไทยทั้งทางตรง และทางอ้อม ซึ่งรัฐบาลเตรียมจัดสรรเม็ดเงินราว 1 หมื่นล้านบาท จากวงเงินงบประมาณ 1.15 แสนล้านบาทเพื่อใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อช่วยเหลือผลกระทบจาก TRADE TARIFF2.0 ไว้ระดับหนึ่งแล้ว
ดังนั้น ในช่วงก่อนวันรู้ผล 1 วัน ฝ่ายวิจัยฯแนะนำ WAIT AND SEE หรือถือเงินสดไว้ในพอร์ตราว 5-10% แต่หากประสงค์อยากได้ CAPITAL GAIN ก็ถือเป็นจังหวะสะสมที่ดี เนื่องจากดัชนีที่ระดับดังกล่าว VALUATION เด่นพร้อมกับการเติบโตของ EPS GROWTH ในปีนี้







