ยก หุ้นปันผล พระเอกหุ้นไทย ท่ามกลางตลาดผันผวน แต่ผลตอบแทนไม่ซึม

ยก หุ้นปันผล พระเอกหุ้นไทย ท่ามกลางตลาดผันผวน แต่ผลตอบแทนไม่ซึม

แม้ว่าแนวโน้ม “ตลาดหุ้นไทย” อาจดูหม่นมัวในสายตาของนักลงทุนระยะสั้น แต่สำหรับ“สายปันผล” แล้ว นี่อาจเป็น “จังหวะทอง” ที่ไม่ควรมองข้ามได้! 

ดังนั้น สถานการณ์ที่ตลาดหุ้นไทยใกล้จุดต่ำสุด ? หรือจุดเริ่มต้นของโอกาส ?  

“ไพบูลย์ นลินทรางกูร”  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า แม้ตลาดหุ้นไทย นับตั้งแต่ต้นปี (YTD) ติดลบ 20% แต่ในภาวะเช่นนี้ หนึ่งในทางเลือกที่ตอบโจทย์นักลงทุน คงต้องยกให้ “หุ้นปันผล” สะท้อนภาพจาก “สถิติย้อนหลัง” ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา พบว่า หุ้นกลุ่มปันผลให้ “ผลตอบแทน” ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่าตลาด และมีอัตราจ่ายเงินปันผลเฉลี่ยในระดับกว่า 4% ถือว่า น่าสนใจมากในการสะสมเป็น Passive income 

ขณะที่ ด้วยระดับ P/E และ P/BV ที่ต่ำสุดในรอบ 10 ปี ประกอบกับโครงการซื้อหุ้นคืนของ“บริษัทจดทะเบียน”(บจ.) ที่สูงเป็นประวัติการณ์ สะท้อนว่าตลาดอาจใกล้จุดต่ำสุดแล้ว พร้อมประเมินว่า SET INDEX มีโอกาสแตะระดับเหนือ 1,200 จุด หากแนวโน้มเศรษฐกิจ และนโยบายการเงินเอื้ออำนวย

ยก หุ้นปันผล พระเอกหุ้นไทย ท่ามกลางตลาดผันผวน แต่ผลตอบแทนไม่ซึม

“มองไปข้างหน้า ดัชนีหุ้นไทยสิ้นปีนี้ คาดว่าจะสามารถยืนเหนือระดับ 1,200 จุดต่อเนื่องได้ ด้วยเพราะว่า บจ.ที่ยังมีศักยภาพในการจ่ายเงินปันผล ราคาหุ้นกลุ่มนี้ยังขึ้นต่อ หนุนดัชนีหุ้นไทยไม่ปรับตัวลง”

เช่นเดียวกับ “ชยนนท์ รักกาญจนันท์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน ฟินโนมีนา จำกัด  มองว่า “ตลาดหุ้นไทย” คือ โอกาสคุ้มเสี่ยงสำหรับการถือครองระยะยาว 5-10 ปี โดยเฉพาะดัชนี SETHD ที่ให้ผลตอบแทนเงินปันผลเฉลี่ย 6.1% สูงที่สุดในโลก

 

ดังนั้น เราถือว่าอัตราเงินปันผลดีที่สุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งหากได้เงินปันผล 6.1% และหากถือครอง 10 ปี แล้ว “ไม่ขาดทุน” รวมถึงหากได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากกองทุน ThaiESGX หรือ RMF ถือว่าเป็นจุดที่น่าคุ้มเสี่ยงกว่าการเข้าลงทุนในดัชนี S&P 500 มีโอกาส “ติดดอย”

“ส่วนหุ้นโลกกลยุทธ์ในการหาผลตอบแทนแบบไซด์เวย์แบบนี้มองว่าอาจต้องไปหากองทุนที่กระจายหลายๆ ประเภทน่าจะสบายใจมากกว่า และเตรียมสภาพคล่องบางส่วนในการเติมเงินเข้าไปกรณีตลาดมีการพักฐาน      ซึ่งอาจมีการลงทุนในทองคำในพอร์ตสัดส่วน 10-15%” 

สำหรับ “5 หุ้นปันผล” ผลตอบแทนสูงสุดในครึ่งแรกปี 2568 (YTD) ได้แก่ 1. หุ้น TOP หรือ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ 12.59% จากนโยบายจ่ายปันผลไม่น้อยกว่า 25% ของกำไรสุทธิ และคาดกำไรฟื้นตัวจากค่าการกลั่น และ stock loss ที่ลดลง 2. หุ้น LH หรือ บริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ 10.42% ปันผลสม่ำเสมอจากกำไรสุทธิ และแผนธุรกิจปี 2568 เติบโตทั้งยอดขาย และรายได้รวม 

3. หุ้น SCB หรือ บริษัท เอสซีบี เอกซ์ ที่ระดับ 8.41% มีกำไรสุทธิเติบโตต่อเนื่อง รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นแล้วและราคาหุ้นปรับขึ้นสวนตลาด 4. หุ้น OSP หรือ บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ 7.97% จากการปรับราคาสินค้า และกลยุทธ์พรีเมียมช่วยหนุนกำไร และ GPM 5. หุ้น PTTEP บริษัท สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ 7.76% ราคาขายก๊าซปรับขึ้น และกำไรปี 2568 คาดเติบโตต่อเนื่อง 

 ทีมวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส มองว่า หุ้นปันผลมั่นคง กำไรเสถียร แนะนำหุ้นที่มี Dividend Yield สูง และมูลค่าหุ้นน่าสะสม เช่น SIRI, AP, LH, KKP, TU, ITC ในภาวะตลาดผันผวน หุ้นปันผลที่ สถิติจ่ายสม่ำเสมอ และกำไรมั่นคงคือ ทางเลือกที่น่าสนใจ

ดังนั้น หุ้นปันผลไม่ใช่แค่ “รายได้ระหว่างทาง” แต่คือ “เสถียรภาพในพอร์ต” ในวันที่ตลาดยังไม่แน่นอน การเลือกหุ้นที่จ่ายปันผลสูง และมีแนวโน้มกำไรมั่นคงอาจเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้พอร์ตลงทุนของคุณ “ไม่หวั่นแม้วันผันผวน” และหากถือครองระยะยาวพร้อมสิทธิประโยชน์ทางภาษี ก็อาจกลายเป็น “เครื่องผลิตกระแสเงินสด” ที่ทรงพลังในระยะยาว

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์