หุ้น HMPRO ลบ 1.39% เผยกำไรไตรมาส 2/68 ลดลง หลังกำลังซื้ออ่อนแอ

หุ้น HMPRO ลบ 1.39% เผยกำไรไตรมาส 2/68 ลดลง หลังกำลังซื้ออ่อนแอ

หุ้น HMPRO ร่วง 1.39% ลดลง 0.10 บาท ระดับราคาอยู่ที่ 7.10 บาท ประกาศผลงานไตรมาส 2/68 และครึ่งปีแรก 2568 กำไรหดหาย หลังกำลังซื้ออ่อนแอ

ความเคลื่อนไหว"ตลาดหุ้นไทย"ภาคเช้า ณ วันที่ 29 ก.ค.2568 เวลา 11.10 น. หุ้น HMPRO ร่วง 1.39% ลดลง 0.10 บาท ระดับราคาอยู่ที่ 7.10 บาท ประกาศผลงานไตรมาส 2/68 และครึ่งปีแรก 2568  กำไรหดหาย หลังกำลังซื้ออ่อนแอ

หุ้น HMPRO ลบ 1.39% เผยกำไรไตรมาส 2/68 ลดลง หลังกำลังซื้ออ่อนแอ

นางสาว วรรณี จันทามงคล รองกรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจการเงินและการลงทุน บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO เผยว่า บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 2 ปี 2568 เท่ากับ 1,398.55 ล้านบาท ลดลง 223.15 ล้านบาท หรือ 13.76% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยหลักมาจากรายได้รวม จำนวน 17,456.81 ล้านบาท ลดลง 1,078.44 ล้านบาท หรือ 5.82% ซึ่งประกอบไปด้วย 1.1. รายได้จากสัญญาที่ทำกับลูกค้า ซึ่งประกอบไปด้วยรายได้จากการขายสินค้า และรายได้จากการให้บริการลูกค้า (Home Service) รวมจำนวน 16,391.51 ล้านบาท ลดลง 1,006.67 ล้านบาท หรือ 5.79% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยการปรับตัวลดลงของรายได้เป็นผลมาจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจ รวมถึงฤดูร้อนที่สั้นกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้ยอดขายกลุ่มสินค้าทำความเย็นมีการปรับตัวลดลง

ขณะที่รายได้ค่าเช่า จำนวน 475.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.02 ล้านบาท หรือ 3.72% จากปีก่อน เป็นผลมาจากการจัดเก็บรายได้ค่าเช่าพื้นที่เช่าในสาขาของโฮมโปรและศูนย์การค้ามาร์เก็ตวิลเลจได้มากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยว เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้รายได้อื่น จำนวน 590.28 ล้านบาท ลดลง 88.79 ล้านบาท หรือ 13.07% โดยเป็นผลมาจากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกับคู่ค้าที่ลดลงทั้งในช่องทางสาขาและช่องทางออนไลน์รวมถึงเงินสนับสนุนทางการค้าที่
ลดลงตามยอดขาย เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

ส่วนกำไรขั้นต้นจากการขายสินค้าและการให้บริการลูกค้า (Home Service) รวมจำนวน 4,231.53 ล้านบาท ลดลง 338.07 ล้านบาท หรือ 7.40% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยอัตรากำไรขั้นต้นต่อยอดขาย ลดลงจาก 26.26% ในปีก่อน มาอยู่ที่ 25.82% เป็นผลมาจากการได้รับส่วนลดทางการค้าตามปริมาณการสั่งซื้อสินค้าลดลงซึ่งเป็นไปตามยอดขายรวมที่ปรับตัวลดลง และต้นทุนค่าเช่า จำนวน 204.42 ล้านบาท ลดลง 1.22 ล้านบาท หรือ 0.59% โดยมาจากต้นทุนค่าสาธารณูปโภคจากพื้นที่เช่าที่ลดลง ส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร จำนวน 3,192.04 ล้านบาท ลดลง 147.62 ล้านบาท หรือ 4.42% เมื่อเทียบกับปีก่อน

ทั้งนี้ อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อยอดขายอยู่ที่ 19.47% ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ระดับ 19.20% เป็นผลมาจากอัตราส่วนที่เป็นเปออร์เซ็นต่อยอดขายในส่วนของค่าใช้จ่ายคงที่สูงขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับยอดขายที่ปรับตัวลดลง ถึงแม้ว่าจะมีการควบคุมค่าใช้จ่ายบางส่วน โดยค่าใช้จ่ายหลักที่ลดลงประกอบด้วยค่าใช้จ่ายทางการตลาด ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงาน ค่าสาธารณูปโภค และค่าซ่อมแซม ขณะที่ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายพนักงานภายนอก (Outsource) และรายได้ทางการเงิน จำนวน 22.72 ล้านบาท ลดลง0.08 ล้านบาท หรือ 0.37% จากรายได้ดอกเบี้ยรับที่ลดลง

บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิสำหรับครึ่งปีแรก เท่ากับ 3,105.93 ล้านบาท ลดลง 228.61 ล้านบาท หรือ 6.86% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยหลักจากรายได้รวมจำนวน 36,111.28 ล้านบาท ลดลง 1,211.55 ล้านบาท หรือ 3.25% ซึ่งประกอบไปด้วย รายได้จากสัญญาที่ทำกับลูกค้า ซึ่งประกอบไปด้วยรายได้จากการขายสินค้าและรายได้จากการให้บริการลูกค้า รวมจำนวน 33,938.95 ล้านบาท ลดลง 1,123.07 ล้านบาท หรือ 3.20% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยการปรับตัวลดลงดังกล่าวเป็นผลมาจากก าลังซื้อของผู้บริโภคที่อ่อนแอตามสภาวะเศรษฐกิจ รวมถึงการกพหนดวงเงินที่ลดลงของมาตรการ Easy E-Receipt 2568 ซึ่งสามารถหย่อนภาษีสูงสุด 30,000 บาท สำหรับร้านค้าทั่วไป เทียบกับ 50,000 บาทในปีที่แล้ว ทำให้มูลค่าการซื้อเฉลี่ยต่อบิลลดลงนอกจากนี้ยังมีผลกระทบจากฤดูร้อนที่มีระยะเวลาค่อนข้างสั้นกว่าปกติเนื่องด้วยฝนที่ตกเร็ว ส่งผลให้ยอดขายสินค้าเครื่องทำความเย็นลดลงในไตรมาส 2/68

ส่วนรายได้ค่าเช่า จำนวน 946.31 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.48 ล้านบาท หรือ 4.12% จากปีก่อน เป็นผลมาจากการจัดเก็บรายได้ค่าเช่าพื้นที่เช่าในสาขาของโฮมโปรและศูนย์การค้ามาร์เก็ตวิลเลจได้มากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยว เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และรายได้อื่น จำนวน 1,226.02 ล้านบาท ลดลง 125.96 ล้านบาท หรือ 9.32% โดยเป็นผลมาจากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกับคู่ค้าที่ลดลงทั้งในช่องทางสาขาและช่องทางออนไลน์รวมถึงเงินสนับสนุนทางการค้าที่ลดลงตามยอดขาย เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

ขณะที่กำไรขั้นต้นจากการขายสินค้าและการให้บริการลูกค้า (Home Service) รวมจำนวน 8,826.22 ล้านบาท ลดลง 378.70 ล้านบาท หรือ 4.11% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยอัตรากำไรขั้นต้นต่อยอดขาย ลดลงจาก 26.25% ในปีก่อนมาอยู่ที่ 26.01% เป็นผลมาจากการได้รับส่วนลดทางการค้าตามปริมาณการสั่งซื้อสินค้าลดลง ซึ่งเป็นไปตามยอดขายรวมที่ปรับตัวลดลง

โดยในไตรมาสที่ 2/68 สถานการณ์เศรษฐกิจยังคงเผชิญกับความเปราะบางทั้งในระดับโลกและภายในประเทศ โดยเศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างประเทศทางภูมิรัฐศาสตร์และความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้า โดยเฉพาะมาตรการภาษีตอบโต้จากสหรัฐอเมริกา ซึ่งสร้างแรงกดดันให้ภาคการส่งออกทั่วโลกมีแนวโน้มหดตัว และอาจนำไปสู่การชะลอการลงทุนในภาคธุรกิจ

สำหรับประเทศไทย การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มชะลอตัวลง เนื่องจากภาคครัวเรือนอยู่ระหว่างการปรับลดภาระหนี้ที่สูงขึ้นในช่วงก่อนหน้านี้ ส่งผลให้มีการระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น นอกจากนี้ แนวโน้มการชะลอตัวของภาคการท่องเที่ยวประกอบกับสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมือง ทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้บริโภคลดลง ส่งผลกระทบต่อความเปราะบางด้านการจ้างงาน รายได้และกำลังซื้อของประชาชน

ทั้งนี้ ในไตรมาสที่ 2 ของปี โดยปกติแล้วเป็นช่วงฤดูร้อนของประเทศไทย ซึ่งมักหนุนให้ยอดขายสินค้ากลุ่มเครื่องทพความเย็น อาทิเครื่องปรับอากาศและพัดลม เติบโตอย่างมีนัยสพคัญ อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ประเทศไทยเผชิญกับสถานการณ์สภาพอากาศที่แตกต่างออกไป โดยมีปริมาณฝนตกเร็วกว่าปกติตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมีนาคมและต่อเนื่องตลอดไตรมาส ส่งผลให้อุณหภูมิเฉลี่ยโดยรวมต่ำกว่าปีก่อน ด้วยปัจจัยข้างต้น ความต้องการใช้สินค้าในหมวดเครื่องทำความเย็นจึงปรับตัวลดลง สะท้อนผ่านยอดขายในกลุ่มสินค้านี้ที่ลดลงอย่างมีนัยสพคัญเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และเป็นผลโดยรวมให้ยอดขายในช่วงไตรมาส 2 มีการปรับตัวลดลง

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้ตระหนักถึงความท้าทายจากสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันรวมถึงปัจจัยตามฤดูกาล และได้ปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวอย่างเหมาะสม โดยเน้นการควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการบริหารจัดการทรัพยากรภายในองค์กร อาทิการใช้พื้นที่ขายอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ด้วยการเปิดสาขาในรูปแบบไฮบริดสโตร์ (Hybrid Store)ซึ่งสามารถลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานบางส่วน และเพิ่มโอกาสในการจำหน่ายสินค้า ควบคู่ไปกับการพัฒนาและเสริมความแข็งแกร่งของช่องทางการจำหน่ายสินค้าและบริการ ทั้งหน้าร้านและออนไลน์เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุมมากยิ่งขึ้น