‘หุ้น IPO’ ไร้สัญญาณฟื้น 6 เดือนแรกมูลค่าระดมทุนต่ำ 1.1 พันล้าน ครึ่งปีหลังยัง ‘เหนื่อย’

‘หุ้นไอพีโอ’ ไร้สัญญาณฟื้น 6 เดือนแรกมูลค่าระดมทุนต่ำ 1.1 พันล้าน ครึ่งปีหลังยัง ‘เหนื่อย’ โบรกเกอร์ชี้สภาพตลาดหุ้นไม่เอื้อ ราคาขายไม่โดนใจ “เจ้าของ” จ่อเลื่อนเทรดเพียบ
KEY
POINTS
- ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 มีหุ้น IPO เข้าตลาดเพียง 5 บริษัท ระดมทุนได้เพียง 1,150 ล้านบาท ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับในอดีต และเป็นการลดลงต่อเนื่อง 5 ปีซ้อน
- นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าตลาด IPO ในครึ่งปีหลังจะยังคง "ซบเซา" และ "เหนื่อย" ต่อไป ตราบใดที่ภาพรวมดัชนีหุ้นไทยยังไม่ฟื้นตัว
- สาเหตุหลักที่บริษัทต่างๆ ชะลอการเข้าตลาด คือ ภาวะตลาดหุ้นที่ไม่เอื้ออำนวย ทำให้ไม่สามารถตั้งราคาขายที่น่าพอใจได้ และอาจระดมทุนได้น้อยลง
- ปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบประกอบด้วยเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอ, ความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ และการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยที่คาดว่าจะอยู่ในระดับต่ำ
- เจ้าของบริษัทส่วนใหญ่ต้องการขายหุ้นในราคาที่ดี แต่สภาพตลาดปัจจุบันทำให้เป็นไปได้ยาก จึงมีแนวโน้มที่จะเลื่อนการเสนอขายออกไปเป็นจำนวนมาก
ในช่วงที่ผ่านมาหลายปี หนึ่งในหุ้นที่สร้างสีสันให้กับ “ตลาดหุ้นไทย” คงหนีไม่พ้น “หุ้นน้องใหม่” ที่รู้จักกันคือ “หุ้นไอพีโอ” หรือ การเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) แต่ปัจจุบัน หุ้นIPO แทบจะหมดมนต์ขลัง สะท้อนผ่านช่วงหลังครึ่งแรกปี 2568 พบมีหุ้นน้องใหม่เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยเพียง “5 บริษัท” คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 1,150 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.บมจ.โปร อินไซด์ (PIS) 2.บมจ.มาเธอร์ มาร์เก็ตติ้ง (MOTHER) 3.บมจ.แอลทีเอ็มเอช (LTMH) 4.บมจ.บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป (BKA) และ 5.บมจ. นูทริชั่น โปรเฟส (NUT) ถือว่ามีหุ้นไอพีโอเข้าระดมทุนในตลาดน้อยมากเทียบกับในอดีตที่ผ่านมา
หากย้อนดู “มูลค่าระดมทุน” 5 ปีย้อนหลัง (2563-2567) ของ “หุ้นไอพีโอ” ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) พบว่า “ลดลง” ต่อเนื่อง (รวม SET-IFFPFUND/REIT-mai) สะท้อนภาพในปี 2563 มูลค่า 136,043.88 ล้านบาท ปี 2564 มูลค่า 98,125.09 ล้านบาท ปี 2565 มูลค่า 97,852.50 ล้านบาท ปี 2566 มูลค่า 38,259.50 ล้านบาท และปี 2567 มูลค่า 20,450.89 ล้านบาท
“กรุงเทพธุรกิจ” ถามมุมมองของ “กูรูแวดวงตลาดทุน” ถึงสถานการณ์หุ้นไอพีโอครึ่งหลัง...ซึ่งมองไปในทิศทางเดียวกันว่า “หุ้นไอพีโอซบเซา” ตราบใดที่ภาพรวมดัชนีหุ้นไทย (SET INDEX) ยังไม่ฟื้นตัว !! ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแรง ราคาหุ้นผันผวน และความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ ส่งผลให้หลายบริษัทตัดสินใจชะลอแผนการเข้าตลาดหุ้นออกไป
“วีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา” ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ฟินันเซีย ไซรัส เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้น IPO มีแนวโน้มชะลอตัวลงในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งเป็นไปตามสภาวะตลาดโดยรวมที่ยังไม่เอื้อ ซึ่งจะเห็นได้ว่า ภาพรวมหุ้น IPO ในช่วงครึ่งปีแรก จำนวนบริษัทที่เข้าจดทะเบียนดูเหมือนจะน้อยลง และคาดการณ์ว่าจะมีการชะลอตัวต่อไปอีก
สาเหตุของการชะลอตัวของหุ้น IPO หลักๆ มาจากการเข้าตลาดในช่วงที่ “ภาวะไม่เอื้อ” อาจทำให้บริษัทได้ราคาหุ้นที่ไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริง และหากได้ราคาที่ต่ำลง เงินลงทุนที่บริษัทจะได้รับจากการระดมทุนก็จะมีจำนวนน้อยลง ด้วยเหตุผลดังกล่าวบริษัทต่างๆ จึงมีแนวโน้มที่จะชะลอการเข้าจดทะเบียนออกไป
สำหรับ แนวโน้มในครึ่งปีหลัง ตลาดหุ้นโดยรวมยังคงเผชิญกับความท้าทาย โดยทิศทางของตลาดขึ้นอยู่กับ “2 ปัจจัยหลัก” ที่มีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะประเด็นอัตราภาษีนำเข้าสินค้า หรือ Tariff หากสามารถทำได้ต่ำกว่า 20% อาจทำให้ตลาดปรับตัวขึ้นได้ และปัจจัยทางการเมืองที่ต้องจับตาในช่วงเดือนส.ค.นี้ ที่จะมีการชุมนุมเกิดขึ้นอีกครั้ง บวกกับประเด็นสำคัญในอีก 2 เดือนข้างหน้าที่ศาล จะต้องมีการตัดสิน ซึ่งหากผลการตัดสินนำไปสู่การต้องหา “นายกฯ คนใหม่” อาจจะสร้างความวุ่นวายในตลาดได้
อย่างไรก็ตาม มองว่า ในช่วงไตรมาส 3-4 ปี 2568 “ตลาดจะเหนื่อย” เนื่องจากยังมีประเด็นที่ยังคุกรุ่นอยู่ และยังไม่มีความชัดเจน ทำให้บริษัทต่างๆ น่าจะยังไม่รีบเข้าจดทะเบียน IPO
“วทัญ จิตต์สมนึก” ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ภาพรวมหุ้น IPO ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมายังคง “ซบเซา” อย่างต่อเนื่อง โดยมีจำนวนบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่เพียงประมาณ 5 ตัวเท่านั้น ซึ่งถือว่า “น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้” และ “น้อยกว่าในอดีตอย่างมาก” ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจทั้งใน และต่างประเทศที่ยังคงเผชิญความท้าทายอย่างหนัก และคาดการณ์ว่าในครึ่งปีหลัง สถานการณ์ก็ยังคงไม่ดีขึ้นเช่นเดิม
ทั้งนี้ หุ้น IPO ชะลอตัวในช่วงที่ผ่านมา และต่อเนื่องถึงครึ่งปีหลัง โดยมีหลายปัจจัยไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ไม่ใช่แค่ไทย แต่เป็นกันทั่วโลก ขณะที่เศรษฐกิจจีนไม่ดี และสหรัฐยังคงมีประเด็นสงครามการค้าอย่างต่อเนื่อง ทำให้การขับเคลื่อนธุรกิจทำได้ “ยากลำบาก” ในสถานการณ์เช่นนี้
ขณะที่ การเจรจาการค้าระหว่างประเทศต่างๆ ยังไม่ราบรื่นนัก โดยเฉพาะการเจรจาระหว่างสหรัฐกับบางประเทศยังไม่ชัดเจนในเรื่องนโยบายภาษี หากมีการขึ้นภาษีจะยิ่งเป็นแรงกดดันต่อเศรษฐกิจไทย ซึ่งจะส่งผลให้กำไร และมาร์จินของบริษัทลดลง ขณะที่แต่ละประเทศพยายามมองหาตลาดใหม่ ทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคามากขึ้น
“สอดรับปริมาณการซื้อขาย (วอลุ่ม) ในตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในระดับต่ำ ราคาหุ้นก็ตกอย่างต่อเนื่อง ในสถานการณ์เช่นนี้ หากบริษัทต้องการเข้า IPO จะต้องคิดหนักมากขึ้นว่านักลงทุนจะสนใจจองซื้อหุ้นหรือไม่ และราคาซื้อขายวันแรกจะสูงกว่าราคาจองได้หรือไม่ โดยปกติแล้ว บริษัทที่จะเข้า IPO ต้องทำผลประกอบการหรือทำงบให้ดีก่อนแต่ในภาวะปัจจุบัน บริษัทส่วนใหญ่แค่ประคองตัวไม่ให้ขาดทุนก็ถือว่าเก่งมากแล้ว ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่ต้องการเห็นการเติบโตของทั้งรายได้ และกำไร แต่เมื่อบริษัทไม่สามารถทำกำไรหรือรายได้ ได้ดี ก็อาจจะต้องรอจังหวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจก่อน จึงจะเริ่มพิจารณาเรื่องการ IPO อีกครั้ง”
ขณะที่ สถานการณ์ “การเมืองไทย” ยังคงดูสุ่มเสี่ยง และเสถียรภาพของรัฐบาลอาจไม่มั่นคงมากนัก ดังนั้น ยังต้องรอติดตามว่ารัฐบาลจะเลือกแนวทางใดต่อไป ไม่ว่าจะยุบสภาหรือเดินหน้าต่อ ซึ่งล้วนมีความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจทั้งสิ้น
“กรรณ์ หทัยศรัทธา” หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน และ นักเศรษฐศาสตร์ สายงานวิจัย บล.ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลต่อไปว่า สถานการณ์ตลาดหุ้น IPO ของไทยในช่วงครึ่งปีแรกพบว่า มีบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่เพียง 5 รายเท่านั้น และมีแนวโน้มว่า หุ้น IPO ในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะยังคง “เหนื่อยอยู่” โดยคาดว่าจำนวนบริษัทที่เข้าจดทะเบียนจะไม่เพิ่มขึ้นมากนัก และอาจ “ซบเซา” หากตลาดหุ้นไทยยังไม่ฟื้นตัว
โดยปัจจัยหลักที่ส่งผลให้ตลาด IPO ซบเซาและบริษัทต่างๆ เลือกที่จะเลื่อนการเข้าจดทะเบียน มาจากปัจจัยภายนอกเรื่องนโยบายภาษีทรัมป์ และปัจจัยเฉพาะตัวภายในประเทศ อาทิ สถานการณ์ทางการเมือง และเศรษฐกิจไทยที่อ่อนแอ โดยมีการประเมินว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยอาจจะไม่ถึง 2% และอาจต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน กรณีหากเศรษฐกิจไทยเติบโตไม่ถึง 1.5%
“เจ้าของบริษัทที่นำหุ้นเข้า IPO ส่วนใหญ่ต้องการขายหุ้นในราคาที่ดี หรือราคาที่สูง เนื่องจากเป็นการแบ่งขายส่วนหนึ่งของธุรกิจออกไป แต่ด้วยสภาพตลาดที่ไม่เอื้อในปัจจุบัน ทำให้การเสนอขายในราคาที่ต้องการเป็นไปได้ยาก จึงมีแนวโน้มที่จะมีการเลื่อนการเสนอขายออกไปเป็นจำนวนมาก”
อย่างไรก็ตาม มองว่ากฎเกณฑ์ของหุ้น IPO ที่มีความเข้มงวดมากขึ้นในปัจจุบัน ไม่ได้เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้บริษัทต่าง ๆ เลื่อนการนำหุ้น IPO เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย แต่หลักๆ คาดว่าเป็นเรื่องของสภาพของตลาดหุ้นไทยโดยรวมมากกว่าที่ส่งผลกระทบโดยตรงมากกว่า
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์






