‘ทิพย กรุ๊ป’ ปรับเกมรุกครึ่งหลัง หันชิงตลาด ‘ประกันนอนมอเตอร์‘

‘ทิพย กรุ๊ป’ ปรับเกมรุกครึ่งหลัง  หันชิงตลาด ‘ประกันนอนมอเตอร์‘

‘ทิพย กรุ๊ป’ปรับเกมรุกครึ่งหลังปี68 หันเน้น ‘ประกันภัยนอนมอเตอร์’ สุขภาพ -ที่อยู่อาศัย คงเป้าสิ้นปีนี้ 2.8หมื่นล้าน โต 3% พร้อมหาจังหวะช้อนหุ้นปันผลเข้าพอร์ต

KEY

POINTS

  • ทิพย กรุ๊ป ปรับกลยุทธ์ธุรกิจในครึ่งปีหลังเพื่อรับมือกับความท้าทายรอบด้าน ทั้งจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและผลกระทบจากภัยพิบัติ
  • หันมามุ่งเน้นรุกตลาดประกันภัยที่ไม่ใช่รถยนต์ (Non-Motor) มากขึ้น โดยเฉพาะประกันสุขภาพ ประกันที่อยู่อาศัย และประกันอัคค

ในครึ่งหลังปี 2568 “ธุรกิจประกันภัยไทย” กำลังเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน !! ทั้งจากเศรษฐกิจที่ผันผวน จากผลกระทบนโยบาย “ภาษีทรัมป์” หนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น สังคมผู้สูงอายุ เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ต้องปรับระบบและใช้ AI/Data Ana ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน (ESG) ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงขึ้น น้ำท่วม พายุ และแผ่นดินไหว ที่คาดไม่ถึง และทวีความรุนแรงขึ้นๆ ทุกปี

รวมถึงกฎหมายใหม่ ๆ อย่าง IFRS 17 และ PDPA ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลให้ “ธุรกิจประกันวินาศภัยไทย” ต้องปรับตัวอย่างหนักพร้อมตั้งรับเชิงรุกเพื่อรับมือสถานการณ์  เนื่องสารพัดปัจจัยกระทบดังกล่าวล้วนส่งผลต่อการบริหารข้อมูลและการรับรู้รายได้ของธุรกิจประกันวินาศภัยไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

‘ทิพย กรุ๊ป’ ปรับเกมรุกครึ่งหลัง  หันชิงตลาด ‘ประกันนอนมอเตอร์‘

ดังนั้น หนึ่งใน “ยักษ์ใหญ่” ของวงการอุตสาหกรรมประกันภัยไทย อย่าง  บริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TIPหากต้องการสร้างการเติบโตต่อเนื่อง จำเป็นต้อง“ปรับกลยุทธ์ธุรกิจ” เพื่อจะก้าวข้ามผ่านความท้าทายในปี 2568 เพื่อพิสูจน์ความแข็งแกร่งที่ “มั่นคง” 

“สมพร สืบถวิลกุล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือTIPH และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ธุรกิจประกันวินาศภัยไทยปี 2568 ถือว่า “เหนื่อย” เป็นพิเศษ เพราะว่าเจอทั้งปัญหา “ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์” และ “ภาษีทรัมป์ป่วนโลก” ส่งผลกระทบต่อ “ภาวะเศรษฐกิจไทยปีนี้ชะลอลง” ทำให้ผู้ประกอบการในไทยประสบปัญหา แน่นอนว่า ส่งผลมายังการทำประกันภัยด้วยโดยเลือก “ประหยัดค่าใช้จ่าย” ด้วย

ประกอบกับในปีนี้มีเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในไทย “แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในไทย” มีผลในวงกว้างต่อธุรกิจประกันวินาศภัยในไทยเป็นอย่างยิ่ง และรุนแรงพอสมควร แต่ในความโชคร้ายครั้งนี้ ยังมีความยังมีความโชคดี เพราะบริษัทประกันวินาศภัยไทยจะมีการทำประกันภัยต่อเอาไว้แล้วอย่างเพียงพอ ยังสามารถประคองตัวกันอยู่ได้ รวมถึงบริษัท ซึ่งในแง่ความเสียหายจากภัยแผ่นดินไหวครั้งนั้นต่อบริษัท สูงสุดแค่ 120 ล้านบาทเท่านั้น ส่วนที่เหลือบริษัทรับประกันภัยต่อจะเข้ามารับผิดชอบแทน จึงไม่น่ามีผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญในปีนี้

ขณะที่ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมานี้ “หนี้สินครัวเรือนไทย” ยังอยู่ระดับที่สูงมาก ! และในส่วน “ภาครัฐยังไม่สามารถเร่งเบิกจ่ายงบประมาณและงบลงทุนได้อย่างทันท่วงที” ดังนั้น ทำให้หลายภาคส่วนมีการชะลอตัวลง อย่าง การลงทุนภาคเอกชนนับตั้งแต่ต้นปีมานี้ ยังมี “ความระมัดระวัง” มากยิ่งขึ้น หรือแม้แต่การท่องเที่ยวที่ดูเหมือนว่าจะต้องมีการฟื้นตัวในปีนี้ แต่ปรากฎว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติยังไม่เข้ามาในไทยตามเป้าหมาย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากจีน ทำให้การท่องเที่ยวไทยยังหดตัวต่อในปีนี้

ดังนั้น บริษัทจึงปรับเกมรุกตลาดประกันในครึ่งปีหลัง สะท้อนความท้าทายเชิงลบข้างต้นที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจประกันวินาศภัยไทย ในครึ่งแรกปี 2568 และยังคงส่งผลเชิบต่อเนื่องมาในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งเป็นจุดที่บริษัทประกันวินาศภัยไทย ต้องเตรียมแผนรับมืออย่างเร่งด่วน 

 “สมพร ”กล่าวถึง แผนการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งหลังปี 2568 ว่า บริษัทได้ปรับกลยุทธ์ หันมามุ่งเน้น ประกันภัยนอนมอเตอร์ (ไม่ใช่รถยนต์) ที่ยังขยายตัวดี ทั้งประกันสุขภาพ และประกันภัยที่อยู่อาศัย ทั้งบ้านและคอนโดมีเนียม โดยเฉพาะประกันอัคคีภัย และทรัพย์สิน ยังมีความต้องการเพิ่มขึ้น หลังจากเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อปลายเดือนมี.ค. ที่ผ่านมา ทำให้ตลาดเติบโตได้ดี

 ทางด้านประกันภัยมอเตอร์ (รถยนต์) จะกลับมาขยายงานรายย่อยและกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า (EV) มากขึ้น จากช่วงครึ่งแรกปี 2568 แต่ยังคงอยู่ในสัดส่วนที่ระมัดระวัง จากไม่เกิน 25% เป็นไม่เกิน 30% ของพอร์ตรับประภัยมอเตอร์โดยรวม

 เพราะว่าครึ่งแรกปีนี้ ตลาดประกันรถอีวี ยังแข่งขันทำเบี้ยถูก ตลาดไม่กระเตื้องขึ้น ยอดผลิตรถอีวีชะลอลงไปจากยอดผลิตล้นสต็อก ปัญหาที่เกิดขึ้นอัตราเบี้ยไม่เพียงพอต่อความเสี่ยงมูลค่าของรถอีวีลดลงอย่างรวดเร็ว 

"ตลาดมีแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน เช่น ปรับลดทุนประกันภัยลงมา ตามมูลค่าของรถอีวีที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน และคืนเบี้ยส่วนเกินที่เคยคิดเอาไว้ให้กับผู้เอาประกันภัย เพราะหากเกิดความเสียหายแบบทั้งหมดจะได้จ่ายเคลมตามมูลค่ารถที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน"

อย่างไรก็ตาม หลังจากครึ่งปีแรกที่ผ่านมานี้ บริษัทยังคงมีการเติบโตเบี้ยประกันภัยรวมตามเป้าหมาย แม้ว่ามีผลรกะทบจากภัยแผ่นดินไหวในไตรมาสแรกที่ผ่านมา แต่ภายใต้กลยุทธ์ดังกล่าว เราคาดหวังว่าครึ่งปีหลังผลการดำเนินงานน่าจะมีทิศทาง “เป็นบวก” ได้อยู่ และผู้เอาประกันเลือกซื้อกับบริษัทประกันภัยที่มีความแข็งแกร่ง ซึ่งเป็นจุดแข็งของบริษัท ดังนั้น จึงคงเป้าสิ้นปีนี้อยู่ที่ 28,000 ล้านบาท เติบโต 3% จากปีก่อน  

ขณะที่ มุมมองของ สมาคมประกันวินาศภัยไทย คาดการณ์ว่า “เศรษฐกิจไทย” (จีดีพี) ในปี 2568 จะขยายตัวในช่วงระดับที่ 1.3-2.3% ขณะที่ เบี้ยประกันภัยรับรวมทั้งอุตสาหกรรม คาดขยายตัวในช่วงระดับที่ 1.5-2.5% ตามการขยายตัวเศรษฐกิจไทย ซึ่งยังคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

โดยเฉพาะปัจจัยลบต่างๆ ยังคงดำเนินอยู่ในครึ่งปีหลังนี้ “สมพร” กล่าวว่า โดยเฉพาะความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ของประเทศต่างๆ แม้แต่ความขัดแย้งระห่าง “ไทย-กัมพูชา” ล้วนมีผลกระทบต่อธุรกิจประกันวินาศภัยทั้งสิ้น โดยเฉพาะการประกันขนส่งสินค้า ซึ่งในเขตพื้นที่สงคราม ทางด้านผู้รับประกันภัย มักจะมีการปรับเงื่อนไขความคุ้มครอง เริ่มมีการจำกัดความรับผิดชอบและความคุ้มครอง รวมถึงมีการปรับเพิ่มเบี้ยประกันภัย อย่างเช่น ในบริเวณอ่าวเปอร์เชียร์ ขณะนี้เริ่มมีการพูดถึงกัน

ขณะที่ ในส่วนของ “ตลาดหุ้นไทย” ที่ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ ส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์หนุนหลังของบริษัทประกันภัย ทำให้อัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (CAR Ratio) ลดลงได้ อย่างไรก็ตาม TIP ยังคงมี CAR Ratio ที่สูงกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้มาก 

ทั้งนี้ มองว่าผลกระทบในตลาดหุ้นไทยน่าจะเป็นระยะสั้นและชั่วคราว มีโอกาสที่จะเป็นแบบ V-shape ปรับตัวลงเร็ว และฟื้นตัวเร็ว ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นไทยของ TIP จึงมุ่งเน้นการปรับพอร์ต และมองหาโอกาสเข้าลงทุนเมื่อตลาดมีการปรับฐานลงมา โดยเน้นเลือกหุ้นรายตัวที่ราคาปรับลงต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน มีผลการดำเนินงานเติบโตดี และมีประวัติการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ โดยบริษัทยังคงรักษาสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไทยไม่เกิน 10% ของพอร์ตลงทุนรวม เนื่องจากตลาดยังมีความไม่แน่นอนสูงและผันผวน

“บริษัทยังคงรักษาระดับสัดส่วนการลงทุนหุ้นไทยไว้ไม่เกิน 10% ของพอร์ตลงทุนรวม และยังต้องระมัดระวังในการเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทย เพราะยังมีความไม่แน่นอนหลายปัจจัยทำให้ตลาดผันผวน”