โบรกคาด‘หุ้นไทย’กระทบจำกัด หลังชายแดน 'ไทย-กัมพูชา' ปะทะเดือด

“ตลาดหุ้นไทย” กังวลความตึงเครียด “ไทย-กัมพูชา” ปะทะเดือดและมีผู้เสียชีวิต ดัชนีฯ วานนี้ร่วง 7.13 จุด มาอยู่ 1,212.49 จุด โบรก ชี้ CBG อ่วมสุด เชื่อหาตลาดทดแทนใหม่ได้
KEY
POINTS
- “ตลาดหุ้นไทย” กังวลความตึงเครียด “ไทย-กัมพูชา” ปะทะเดือดและมีผู้เสียชีวิต ดัชนีฯ วานนี้ร่วง 7.13 จุด มาอยู่ 1,212.49 จุด
- “บล.ยูโอบี เคย์เฮียน” มองผลกระทบธุรกิจไทย “ซีบีจี” หนักสุด เหตุรายได้มากสุด แต่เชื่อหาตลาดใหม่ทดแทนได้ มองดัชนีฯ ลงระยะสั้น-จำกัดแนวรับ 1,190 จุด ไม่กังวล แถมเป็นโอกาสเข้าซื้อสะสม
- “บล.บัวหลวง” กระทบเชิงลบต่อหุ้นรายตัวเท่านั้น คงกรอบดัชนี 1,190 -1,240 จุด
สถานการณ์ปะทะกันตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา หลังไทยส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 ยิงเข้าใส่กัมพูชาตอบโต้การเปิดฉากโจมตีด้วยกระสุนปืนใหญ่จากฝ่ายกัมพูชา ที่ยิงเข้าใส่กองกำลังทหารไทยและบ้านผลเรือนไทย จนทำให้มีผู้เสียชีวิต
ส่งผลกระทบต่อความเคลื่อนไหว “ตลาดหุ้นไทย” วานนี้ (24 ก.ค.2568) ก่อนปิดตลาดปรับตัวลงลึกกว่า 13.43 จุด ท่ามกลางความกังวลสถานการณ์สู้รบยกระดับความรุนแรงและยืดเยื้อ ก่อนกลับมาปิดตลาดปรับตัวลง 7.13 จุด หรือ 0.58% อยู่ที่ระดับ 1,212.49 จุด มีมูลการซื้อขายทั้งสิ้น 46,887.92 ล้านบาท
โดยหุ้นที่ปรับตัวลงแรง จะมีสัดส่วนรายได้จากกัมพูชามากที่สุด คือ บริษัท คาราบาวกรุ๊ป หรือ CBG ปิดตลาดร่วง 9.13% มาอยู่ 52.25 บาท
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล. ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลกระทบการปะทะสู้รบกันตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อธุรกิจไทยที่มีสัดส่วนรายได้จากกัมพูชามากสุด 3 บริษัท ได้แก่ CBG มีสัดส่วน 10-15% รองมา OSP และ SCCC มีสัดส่วนเท่ากับ 5-10%
สำหรับ หุ้น CBG ได้รับผลกระทบโดยตรงแต่เป็นสัดส่วนรายได้จากกัมพูชาไม่มาก เมื่อเทียบกับรายได้รวม เชื่อว่าบริษัทจะหาตลาดใหม่ทดแทนรายได้จากกัมพูชาได้ ส่วน OSP และ SCCC ได้รับผลกระทบทางอ้อมจากแรงงานส่วนใหญ่เป็นแรงงานกัมพูชา อาจยังไม่สามารถเพิ่มแรงงานกัมพูชาในช่วงนี้ได้ หากมีความจำเป็นคงต้องพิจารณาใช้แรงงานคนไทยแทน
ขณะเดียวกัน พบว่า การค้าชายแดนไทย-กัมพูชา คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 2% ของภาพรวมรายได้การค้าชายแดน ธุรกิจไทยสามารถบริหารจัดการได้ จึงไม่ได้มีผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า แต่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเฉพาะจังหวัดที่อยู่ตามแนวชายแดนที่ติดกัมพูชาเท่านั้น
ดังนั้น วิกฤติสู้รบชายแดนไทย-กัมพูชารอบนี้ ตลาดเข้าใจและก่อนหน้าตลาดรับรู้ข่าวความขัดแย้งทั้งสองประเทศมาระดับหนึ่งแล้ว วานนี้จึงเห็นผลกระทบต่อดัชนีตลาดหุ้นไทยกลับมาปรับตัวลงไม่มากจากความกังวลระยะสั้น ว่าจะยกระดับความรุนแรง ยืดเยื้อขยายวงกว้างหรือไม่
โดยประเมินว่าการสู้รบในลักษณะการโจมตีทางอากาศ แม้จะมีความรุนแรงมากกว่าการเคลื่อนกำลังทางภาคพื้นดิน (เข้ายึดพื้นที่) แต่สถานการณ์จะจบเร็ว ไม่ยืดเยื้อ เพราะมีโอกาสที่อาจจะมีคนกลางหรือประเทศที่ 3 เข้ามาช่วยเจรจายุติหรือไกล่เกลี่ย
ประเมินแนวโน้ม SET INDEX มีโอกาสปรับตัวลงในระยะสั้น และค่อนข้างจำกั มองแนวรับ 1,190 จุด เป็นจุดที่ไม่น่ากังวล และมองเป็นโอกาสเข้าลงทุนรอบใหม่ หลังดัชนีหุ้นไทยก่อนน้านี้ปรับขึ้นแรงทะลุ 1,200 จุด ทำให้เริ่มมีแรงขายทำกำไรออกมา
นายพิริยพล คงวาณิช ผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์พื้นฐาน สายงานวิจัย บล.บัวหลวง กล่าวว่า สถานการณ์วิกฤติแนวชายแดนไทยกัมพูชาผลกระทบต่อธุรกิจไทย ในมุมสัดส่วนรายได้หรือกำไร (ถ้ามี) 1) พบว่า CBG ได้รับผลกระทบมากที่สุดเพราะมีสัดส่วนมากกว่า 10%
รองมา OSP SCCC มีสัดส่วนระดับ 5-10 และสัดส่วนระดับ 1-15% มีกลุ่มโรงพยาบาล BH BDMS BCH, กลุ่ม โรงหนัง MAJOR BTG , กลุ่มปิโตรเคมีและโรงกลั่น BCP IRPC SPRC TOP PTTGC SCC และธุรกิจขายน้ำมันฯ OR
ส่วนกลุ่มถูกกล่าวถึง ชื่อตามสื่อว่ามีธุรกิจ แต่ผลกระทบรายได้ไม่มีนัยฯ หรือ น้อยกว่า 1% เช่น ค้าปลีกที่มีสาขา CPALL CPAXT BJC, ธนาคารใหญ่ที่มีสาขา BBL KBANK SCB KTB และลักษณะโครงการ BGRIM
ขณะที่ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยสัดส่วนส่งออกไปประเทศกัมพูชา คิดเป็นราว 3% ของการส่งออกทั้งหมดของไทย หลักๆ 5 อันดับแรก ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ น้ามันสำเร็จรูป น้ำาตาลทราย เครื่องดื่ม เคมีภัณฑ์ โดยสัดส่วนส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติคิดเป็นเพียงราว 0.4% ของการส่งออกทั้งหมดปี 2567
โดยหากพิจารณาตามสัดส่วนตัวเลขที่กล่าวมา ถือว่าไม่รุนแรง อาจจะกระทบเชิง sentiment เชิงลบต่อหุ้นรายตัว ปรับตัวลงตามสัดส่วนรายได้จากกัมพูชามาก เช่น CBG มีสัดส่วนรายได้จากกัมพูชา 13% ราคาหุ้นอาจจะโดนแรงกระแทกมากกว่าหุ้นตัวอื่นๆ เรายังประเมินดัชนีหุ้นไทยระยะสั้นแกว่งตัวแนวรับ 1,190 จุด และแนวต้าน 1,240 จุด







