ลุ้น ‘รายใหญ่อสังหาฯ’ คืนหนี้ จับตาความสำเร็จ ‘ขายตราสารหนี้’ หรือ ‘หุ้นกู้’ เพื่อนำเงินมารีไฟแนนซ์

ลุ้น ‘รายใหญ่อสังหาฯ’ คืนหนี้ จับตาความสำเร็จ ‘ขายตราสารหนี้’ หรือ ‘หุ้นกู้’ เพื่อนำเงินมารีไฟแนนซ์

ลุ้น‘รายใหญ่อสังหาฯ’คืนหนี้ จับตาความสำเร็จ ‘ขายตราสารหนี้’ หรือ ‘หุ้นกู้’ เพื่อนำเงินมารีไฟแนนซ์ “บล.ยูโอบี เคย์เฮียน” ชี้อสังหาฯ ยังเหนื่อย เหตุ “แบกสต็อกล้น-กำลังซื้ออ่อนแอ”

KEY

POINTS

  • ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่อย่าง บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) และ บมจ.ศุภาลัย (SPALI) กำลังเผชิญความท้าทายสำคัญในการรีไฟแนนซ์หนี้หุ้นกู้จำนวนมหาศาลในช่วงที่เหลือของปี 2568
  • LH มีหนี้หุ้นกู้ที่ถึงกำหนดชำระใน 1 ปีข้างหน้าประมาณ 14,196 ล้านบาท ขณะที่กระแสเงินสดจากการดำเนินงานครึ่งปีแรกคาดว่าจะมีเพียง 5,000 ล้านบาท ซึ่งไม่เพียงพอต่อการชำระหนี้
  • SPALI มีหนี้หุ้นกู้ถึงกำหนดชำระใน 1 ปีประมาณ 13,838 ล้านบาท โดยมีจำนวน 7,500 ล้านบาทที่ครบกำหนดในช่วงจากนี้จนถึงเดือน ก.ย. นี้
  • นักลงทุนกำลังจับตาดูว่าบริษัทเหล่านี้จะสามารถขายตราสารหนี้หรือหุ้นกู้ล็อตใหม่ได้สำเร็จ เพื่อนำเงินมารีไฟแนนซ์ (Rollover) หนี้ก้อนเดิมได้หรือไม่
  • ความสำเร็จในการรีไฟแนนซ์หนี้ โดยเฉพาะก้อนใหญ่ของ LH ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2568 จะเป็นสัญญาณที่ทำให้บรรยากาศการลงทุนในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ผ่อนคลายมากขึ้น

“กลุ่มอสังหาฯ” ครึ่งปีหลัง “ยังเหนื่อย” หลังไร้สัญญาณอุตสาหกรรมฟื้น “บล.ยูโอบี เคย์เฮียน” ชี้สต็อกสินค้าเพิ่มขึ้นมาก ทำเงินจมอยู่ในโครงการที่ขายไม่ดี และแบกภาระการรีไฟแนนซ์หนี้จำนวนมหาศาล “บล.ฟินันเซีย ไซรัส” รับอสังหาฯ หดตัวต่อตามเศรษฐกิจฟื้นตัวช้าๆ “บล.กสิกรไทย” คาดไตรมาส 4 ปี 68 อาจเป็นจุดสูงสุดปีนี้ หากภาษีทรัมป์ไม่มีผลกระทบเชิงลบมาก

ลุ้น ‘รายใหญ่อสังหาฯ’ คืนหนี้ จับตาความสำเร็จ ‘ขายตราสารหนี้’ หรือ ‘หุ้นกู้’ เพื่อนำเงินมารีไฟแนนซ์

“กลุ่มอสังหาริมทรัพย์” ในครึ่งหลังปี 2568 ยังอยู่ในภาวะที่ “เหนื่อย” และต้องเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ทั้งจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวช้า ความต้องการซื้อที่อ่อนแอ สต็อกคงค้างสะสมในระบบ และภาระ “หนี้หุ้นกู้” ที่ผู้ประกอบการ “รายใหญ่” ต้องเร่งจัดการ

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ รองกรรมการผู้จัดการ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่เหลือของปีนี้ยังคงอยู่ในภาวะเหนื่อย และเผชิญความท้าทายหลายด้าน โดยปัญหาหลักที่ฉุดการเติบโตของอสังหาฯ มาจากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการอสังหาฯ ส่วนใหญ่มีสต็อกสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้เงินจมอยู่ในโครงการที่อาจเปิดแล้วแต่ขายไม่ดี หรือไม่ประสบความสำเร็จ 

ขณะที่ กำลังซื้อในประเทศอ่อนแอจากภาวะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้น ซึ่งกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนในอสังหาฯ ดังนั้น เป็นเรื่องยากหากไม่มีมาตรการสนับสนุนการซื้อจากภาครัฐ รวมถึงการที่ไทยก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุทำให้ตลาดอสังหาฯ มีแนวโน้มการเติบโตค่อนข้างน้อย

รวมทั้งครึ่งหลัง “ผู้ประกอบการอสังหาฯ รายใหญ่” อย่าง บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) และ บมจ.ศุภาลัย (SPALI) กำลังเผชิญกับความท้าทายสำคัญในการรีไฟแนนซ์หนี้จำนวนมหาศาลในช่วงที่เหลือของปี 2568 แม้ทั้งสองบริษัทจะมีแบรนด์ที่แข็งแกร่งในตลาดก็ตาม

โดย LH หนี้ถึงกำหนดชำระใน 1 ปีประมาณ 14,676 ล้านบาท และเป็นหุ้นกู้ 14,196 ล้านบาท ซึ่ง LH มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานในไตรมาส 1 ปี 2568 อยู่ที่ 2,500 ล้านบาท คาดว่าช่วงครึ่งปีแรกจะอยู่ที่ประมาณ 5,000 ล้านบาท ซึ่งไม่เพียงพอต่อการชำระหนี้ 14,000 ล้านบาทที่ถึงกำหนดใน 1 ปีข้างหน้า ส่วน SPALI มีหนี้ถึงกำหนดชำระใน 1 ปีประมาณ 19,983 ล้านบาท โดยเป็นหุ้นกู้ถึง 13,838 ล้านบาท และจะมีหุ้นกู้ถึงกำหนดชำระ 7,500 ล้านบาท ในช่วงจากนี้จนถึงเดือน ก.ย. นี้ และจะมีจำนวนมากอีกครั้งช่วงต้นปีหน้า

“LH และ SPALI จะถึงกำหนดรีไฟแนนซ์ในไตรมาส 3 ปี 2568 ซึ่ง LH จะมีหนี้ที่ถึงกำหนดระยะเวลาชำระเดือนจากเดือนก.ย.ถึง ต.ค. ราว 8,000-10,000 ล้านบาท นักลงทุนอาจจะรอดูว่าจะสามารถรีไฟแนนซ์ก้อนนี้ได้แน่ ๆ เช่น จะรู้ได้จากที่มีขายตราสารหนี้ หรือขายหุ้นกู้ได้สำเร็จ มีคนจองและมีเงินที่จะสามารถไปโรลโอเวอร์หุ้นกู้ได้แน่นๆ ก็จะทำให้บรรยากาศผ่อนคลายได้มากขึ้น”

นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ฟินันเซีย ไซรัส ให้ข้อมูลว่า หุ้นกลุ่มอสังหาฯ ในปัจจุบันยังไม่ค่อยดี และมีแนวโน้มที่จะยังคงหดตัวตามภาพรวมเศรษฐกิจไทย โดยในช่วงครึ่งปีหลังการฟื้นตัวของกลุ่มอสังหาฯ น่าจะยังเป็นไปอย่างช้าๆ นอกจากปัจจัยทางเศรษฐกิจแล้ว กลุ่มนี้ยังเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะในเรื่องของประชากร ดังนั้น โอกาสกลุ่มอสังหาฯ จะมีการเติบโตแข็งแกร่งรวดเร็วจึงเป็นเรื่องค่อนข้างยาก

ดังนั้น แนะนำนักลงทุนกลุ่มอสังหาฯ หากไม่ได้รีบร้อนลงทุน ก็ยังไม่จำเป็นต้องรีบเข้าไปลงทุนในกลุ่มนี้ก็ได้ แต่หากต้องการลงทุนเลือกหุ้นรายตัว ควรพิจารณาเลือกบริษัทที่มี Presale หรือ Backlog ที่ยังสูง กำไรที่ไม่หดตัวมาก

นายสรพงษ์ จักรธีรังกูร ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย ให้ข้อมูลว่า ภาพรวมงบไตรมาส 2 ปี 2568 เทียบกับปีที่แล้ว ถือว่าไม่ดีสาเหตุหลักจากเหตุการณ์ใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดในช่วงมี.ค.ที่ผ่านมา และต้นไตรมาส 2 ปี 2568 ได้แก่ แผ่นดินไหว ขณะที่ ภาษี Reciprocal Tariff 36% ที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประกาศออกมาทำให้หน่วยงานรัฐและเอกชนปรับลดคาดการณ์ GDP ลง ซึ่งส่งผลให้กำลังซื้อในระยะสั้นชะลอตัวลง

สำหรับ แนวโน้มครึ่งปีหลังคาดโครงการคอนโดมิเนียมที่ล่าช้าจากไตรมาส 2 ปี 2568 จะเริ่มเปิดตัวมากขึ้น โดยจะเป็นทั้งโครงการ High Rise ในกรุงเทพฯ และ Low Rise ในกรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัดที่ไม่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว ทำให้ยอดขายไตรมาส 3 ปี 2568 น่าจะฟื้นตัวขึ้นมากเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2568 โดยเฉพาะโครงการแนวราบจะมีการเปิดตัวเพิ่มขึ้นมากเช่นกัน 

โดยคาดผลประกอบการในไตรมาส 3 น่าจะดีขึ้นทั้งยอดขายและกำไร ขณะที่ไตรมาส 4 ปี 2568 อาจจะเป็นจุดสูงสุดของปีนี้ หากปัจจัยภายนอกโดยเฉพาะเรื่องภาษีไม่มีผลกระทบในเชิงลบมาก