มุมมองSET index จะเป็นอย่างไรต่อไปหลังพุ่งแรงกว่า 100 จุด

มุมมองSET index จะเป็นอย่างไรต่อไปหลังพุ่งแรงกว่า 100 จุด

แม้ SET Index จะฟื้นตัวจากระดับต่ำได้อย่างแข็งแกร่ง แต่การยืนระยะยังขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐาน โดยเฉพาะผลประกอบการไตรมาส 2 หากออกมาดีกว่าคาดอาจช่วยให้ตลาดไปต่อได้ แต่หากผิดหวัง อาจเป็นจุดกลับตัวของแรงขาย ท่ามกลางความไม่แน่นอนทั้งในและต่างประเทศ นักลงทุนจึงควรลงทุนด้วยความระมัดระวังและเน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

KEY

POINTS

  • ทิศทางของ SET Index ในระยะต่อไปจะขึ้นอยู่กับผลประกอบการไตรมาส 2 ของบริษัทจดทะเบียนเป็นสำคัญ ซึ่งจะเป็นตัวตัดสินว่าดัชนีในระดับปัจจุบันถูกหรือแพง
  • หากผลประกอบการไตรมาส 2 ออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ ตลาดมีโอกาสที่จะยืนในระดับปัจจุบันหรือปรับตัวขึ้นต่อได้ แต่หากออกมาน่าผิดหวัง อาจเป็นจุดกลับตัวของแรงขายและทำให้ดัชนีปรับตัวลง
  • การฟื้นตัวที่ผ่านมาเป็นผลจากความคาดหวังเชิงบวกต่อปัจจัยการเมืองและนโยบายการเงินเป็นหลัก แต่ยังขาดปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญมารองรับ
  • ตลาดยังคงมีความเสี่ยงจากผลประกอบการกลุ่มธนาคารที่ออกมาไม่สดใส ซึ่งอาจสะท้อนภาพรวมของอุตสาหกรรมอื่น และความไม่แน่นอนของประเด็นภาษีกับสหรัฐฯ ที่อาจกดดันกำไรของตลาดโดยรวม

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา SET Index ปรับตัวขึ้นแรงเกือบ 100 จุด ซึ่งหากนับตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่ดัชนีแตะระดับต่ำสุดบริเวณ 1,050 จุด จะพบว่าในเวลาเพียงหนึ่งเดือน SET Index ได้ฟื้นตัวขึ้นมาราวเกือบ 200 จุด อย่างไรก็ตาม ปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนเพียงแค่การที่ Valuation ของตลาดไทยเคยถูกปรับลดลงอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา ส่วนสิ่งที่จะเป็นตัวตัดสินสำคัญว่า SET Index ในระดับนี้ ยังถูกหรือแพงเกินไปคือผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 2 ที่กำลังทยอยประกาศออกมา

ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ ตลาดหุ้นไทยต้องเผชิญกับแรงกดดันจากหลายด้าน โดยเฉพาะประเด็นสงครามการค้าและการเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่เข้ามาซ้ำเติมบรรยากาศการลงทุน ซึ่งเดิมทีที่ไม่ค่อยสดใสอยู่แล้ว นักลงทุนส่วนใหญ่มองว่า แม้ Valuation จะอยู่ในระดับที่ถูก แต่ก็ยังไม่มีปัจจัยบวกหรือข่าวดีใดมาสนับสนุนให้ SET ฟื้นตัวอย่างมีนัยยะ

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือนที่ผ่านมาเริ่มมีสัญญาณบวกเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เข้ามาหนุนตลาด เช่น การที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งตลาดมองว่าอาจนำไปสู่การยุบสภาหลังผ่านร่างงบประมาณ และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของรัฐบาลใหม่ที่มีเสถียรภาพมากขึ้น ขณะเดียวกัน การแต่งตั้งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ ก็ช่วยเพิ่มความคาดหวังว่าดอกเบี้ยนโยบายอาจมีแนวโน้มลดลงในระยะข้างหน้า เนื่องจากตลาดคาดว่าแนวทางการดำเนินนโยบายจะเป็นโทนผ่อนคลายมากขึ้น ซึ่งน่าจะสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล และเป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของนโยบายการเงินและการคลังกับระบบเศรษฐกิจมากขึ้น

แม้ปัจจัยเหล่านี้ยังอยู่ในขั้นของความหวัง แต่สิ่งที่จะเป็นตัวชี้ชะตาตลาดได้จริงคือผลประกอบการไตรมาส 2 ซึ่งขณะนี้เริ่มทยอยประกาศออกมาแล้ว โดยกลุ่มแรกที่ออกมาเป็นที่เรียบร้อย คือ ธนาคารพาณิชย์ ซึ่งผลออกมาตามที่ตลาดคาดไว้เป็นส่วนใหญ่ โดยกำไรลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า ผู้บริหารหลายแห่งยังคงมีมุมมองเชิงลบต่อภาวะเศรษฐกิจ และมีแนวโน้มตั้งสำรองเพิ่มขึ้น ทำให้ภาพรวมของครึ่งปีหลังอาจยังไม่สดใสนัก สะท้อนถึงผลประกอบการของกลุ่มอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่อาจจะยังเติบโตได้ไม่ดี

ในแง่ Valuation ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยซื้อขายกันที่ระดับ P/E ราว 13-14 เท่า บนสมมุติฐานกำไรต่อหุ้น ที่ 85-90 บาท หากผลประกอบการไตรมาส 2 ออกมาดีกว่าคาด ตลาดก็มีโอกาสยืนอยู่ในระดับนี้ต่อไปได้ แต่หากผลประกอบการออกมาต่ำกว่าคาด ระดับดัชนีปัจจุบันอาจปรับตัวลงมาได้อีก เห็นได้ชัดหลังจากที่ ครม. เห็นชอบแต่งตั้งผู้ว่าฯธปท. คนใหม่ อย่างเป็นทางการ ตลาดก็เกิด Sell on Fact เพราะยังไม่มีปัจจัยสนับสนุนใหม่ นอกจากนี้ ประเด็นภาษีของสหรัฐฯ ที่ยังไม่ชัดเจน แต่มีโอกาสเป็นไปได้ค่อนข้างยากที่ภาษีของประเทศไทยจะได้ต่ำกว่า 20% ซึ่งเป็นระดับที่ประเทศอื่น ๆ ในอาเซียนได้รับ จากประเด็นนี้ยังมีความเสี่ยงที่ EPS ของตลาดหุ้นไทยจะถูกปรับลดลงอีก

โดยสรุป แม้ SET Index จะฟื้นตัวจากระดับต่ำได้อย่างแข็งแกร่ง แต่การยืนระยะยังขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐาน โดยเฉพาะผลประกอบการไตรมาส 2 หากออกมาดีกว่าคาดอาจช่วยให้ตลาดไปต่อได้ แต่หากผิดหวัง อาจเป็นจุดกลับตัวของแรงขาย ท่ามกลางความไม่แน่นอนทั้งในและต่างประเทศ นักลงทุนจึงควรลงทุนด้วยความระมัดระวังและเน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก