“ทริสเรทติ้ง” เปิดกลุ่มเสี่ยงเครดิต ผลภาษีสหรัฐซ้ำเติมกลุ่มธุรกิจอ่อนแอ

“ทริสเรทติ้ง” วิเคราะห์ ผลกระทบทางตรงจากการที่ภาษีศุลกากรของสหรัฐอาจปรับเพิ่มขึ้นต่อผู้ออกตราสารหนี้ ซึ่งได้รับการจัดอันดับเครดิตทั้งหมด 225 รายจะค่อนข้างจํากัดโดยคิดเป็นสัดส่วนน้อยกว่า 5% ผู้ออกตราสารทั้งหมด แต่ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจมหภาคในภาพรวมอาจเป็นประเด็นที่น่ากังวลมากกว่า
การปรับขึ้นอัตราภาษีนําเข้าสินค้าจากประเทศไทยของสหรัฐ ที่อาจเกิดขึ้น คาดว่าจะส่งผล “กระทบโดยตรงต่อผู้ออกตราสารหนี้” ที่ได้รับการ จัดอันดับเครดิตในวงจํากัด โดยมี ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มสินค้าที่ ได้รับผลกระทบไม่ถึง 5% อย่างไรก็ตามบริบททางเศรษฐกิจในภาพรวมซึ่งประกอบด้วยการบริโภคภายในประเทศที่ซบเซา การลงทุนภาคเอกชนที่ชะลอตัวมีผลมากกว่า
รวมถึงความกังวลจากปัจจัยภายนอกประเทศยังคงเป็นปัจจัยที่ส่งผลกดดันต่อคุณภาพเครดิตในระยะสั้นถึงระยะปานกลางบริษัทขนาดใหญ่ส่วนใหญ่ได้มีการปรับตัวเชิงรุกมาตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของความตึงเครียดทางการค้าภายใต้รัฐบาลทรัมป์ชุดแรก โดยบริษัทเหล่านี้ได้มีการกระจายแหล่งจัดหาวัตถุดิบให้หลากหลายขึ้นรวมถึงขยายธุรกิจไปในตลาดที่มีลูกค้าหลัก รวมทั้งแสวงหาฐานลูกค้าใหม่ เพื่อบรรเทาความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก
ด้วยเหตุนี้ ผลกระทบระยะสั้นจากการปรับขึ้นภาษีศุลกากรจึงคาดว่าจะยังอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้ สําหรับบริษัทเหล่านี้ในทางตรงกันข้าม "ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม" ซึ่งมีความคล่องตัวทางการเงินและความยืดหยุ่นในการดําเนินงานที่จํากัดนั้นยังคง มีความเปราะบางและต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐทั้งในแง่ของความช่วยเหลือด้านการเงิน การอํานวยความสะดวกในการส่งออก และการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต
แม้ว่าบริษัทจะมีการปรับตัวโดยใช้มาตรการต่าง ๆ แล้ว แต่ ตัวชี้วัดด้านเครดิต (Credit Metrics) ของผู้ออกตราสารหนี้ที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตหลาย ๆ รายก็มีความอ่อนแอลงมาตั้งแต่ปี 2566 ซึ่งส่งผลให้เกิด “แรงกดดันด้านลบต่ออันดับเครดิต” แม้ว่าผล กระทบโดยตรงจากมาตรการภาษีของสหรัฐจะยังมีจํากัด แต่การบริโภคภายในประเทศที่ยังคงอ่อนแอจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างช้าและระดับหนี้ครัวเรือนที่ยังคงสูงได้ส่งผลกระทบต่อทั้งการบริโภคและการลงทุนในภาคเอกชนมาระยะหนึ่งแรงกดดันที่เพิ่มเติมจากภายนอกจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในระยะยาว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการที่ "สหรัฐอาจขึ้นภาษีสินค้าส่งออกจากไทยเพิ่มขึ้น" อีกก็อาจส่งผลให้การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศชะลอตัวและการขยายกําลังการผลิตต้องเลื่อนออกไป ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการจ้างงานและการเติบโตของรายได้ซึ่งจะยิ่งบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลงไปอีก
ดังนั้น ผู้ออกตราสารหนี้ที่มีข้อจํากัดด้านการเงินอาจเผชิญกับการปรับลดอันดับเครดิตหากกระแสเงินสดและตัวชี้วัดด้านหนี้สินเสื่อมถอยลงไปอย่างมาก ในอนาคตการมี "ฐานรายได้ที่หลากหลาย" " สภาพคล่องที่แข็งแกร่ง" และ "โครงสร้างเงินทุนที่ระมัดระวัง" จะยังคงเป็นปัจจัยสําคัญที่ "สร้างความแตกต่างด้านคุณภาพเครดิต" ระหว่างบริษัทแต่ละราย
ทั้งนี้จากผู้ออกตราสารหนี้น้อยกว่า 5% มีการส่งออกไปยังสหรัฐโดยตรง จากบริษัท จํานวน 225 แห่ง ที่ได้รับการ จัดอันดับเครดิตโดยทริสเรทติ้งมีเพียง 7 แห่งที่มีการส่งออกไปยังสหรัฐโดยตรง ซึ่งครอบคลุม 3 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ 1. อาหารแปรรูป (รวมถึงเนื้อสุกร เนื้อไก่ อาหารทะเล และอาหารสัตว์เลี้ยง)
2. ผลิตภัณฑ์จากยางพารา และ 3. อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า บริษัทเหล่านี้ “มีรายได้รวมกันประมาณ1 ล้านล้านบาท” ในปี 2567 โดยการส่งออกไปยังสหรัฐ คิดเป็นเพียง 6% ของรายได้รวมและมีเพียง 4 .4% ของรายได้รวมที่คาดว่าจะอยู่ภายใต้อัตราภาษีใหม่ ในบรรดาบริษัทที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตนั้น SNC มีการพึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐมากที่สุด รองลงมาคือ STGT และ TU
สำหรับ "ผลกระทบในทางอ้อม" ที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐมีความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจในภาพรวมเป็นความท้าทายที่รุนแรงกว่าแม้ว่าผลกระทบโดยตรง จากมาตรการภาษีของสหรัฐ อาจจํากัดอยู่แค่เพียงไม่กี่บริษัทแต่ผลกระทบในทางอ้อมอาจสร้างความท้าทายต่อเศรษฐกิจไทยที่อ่อนแออยู่ทั้งนี้สภาพแวดล้อมด้านเศรษฐกิจมหภาค
โดยรวมอาจมีอิทธิพลต่ออันดับเครดิตของผู้ออกตราสารหนี้ที่ได้รับการจัดอันดับมากกว่าอย่างมีนัยสําคัญ โดยผลกระทบในระยะสั้นอาจรวมถึงการชะลอตัวของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ และการเลื่อนการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่
โดยยังมีด้านอุปสรรคสําคัญและผลกระทบต่อผู้ออกตราสารหนี้ที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตยังต้องคำนึง
1.การลดลงของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ในไตรมาสแรกของปี 2568 การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศลดลงประมาณ 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการลงทุนจากจีนก็ลดลงในระดับใกล้เคียงกัน เนื่องจากนักลงทุนยังคงมีความระมัดระวัง อย่างไรก็ตาม ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การลงทุนจากจีนได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากกลยุทธ์ “China+1”
อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นภาษีของสหรัฐสําหรับประเทศที่มีดุลการค้าเกินดุลหรือมีความเชื่อมโยงกับการส่งผ่านสินค้าจากจีนอาจส่งผลให้การลงทุนในประเทศไทยเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือถูกเลื่อนออกไปหากสินค้าจากไทยมีอัตราภาษีที่สูงกว่าประเทศอื่นในอาเซียน การตัดสินใจลงทุนในระยะยาวจะขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัย เช่น ขนาดของตลาด คุณภาพของโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆกฎระเบียบ และต้นทุนในการดําเนินงานทั้งนี้ ทริสเรทติ้งไม่คาดว่าจะเกิดการย้ายฐานการผลิตที่มีอยู่แล้ว เนื่องจากมีการลงทุนไปแล้วเป็นจํานวนมากประกอบกับยังมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าระหว่างประเทศในอนาคต
“ผลกระทบที่อาจมีต่ออันดับเครดิต” จากการ “ลดลงของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ” อาจส่งผลให้การ “สร้างงานใหม่และการถ่ายทอดเทคโนโลยีเกิดขึ้นช้าลง” ซึ่งอาจส่งผลต่อผลิตภาพในระยะยาว ผู้ส่งออกที่มีแผนจะสร้างความร่วมมือกับต่างประเทศหรือการร่วมทุนอาจเผชิญกับความล่าช้าในการขยายธุรกิจ ซึ่งอาจกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของบริษัทดังกล่าวส่วนผู้ประกอบการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมก็อาจเผชิญกับยอดขายที่ดินในประเทศที่ลดลง เนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับอัตราภาษี อย่างไรก็ตาม ผู้ออกตราสารหนี้ที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตในกลุ่มนี้ได้ขยายการดําเนินงานไปยังประเทศอื่นๆ ในอาเซียน เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย และลาว ซึ่งอาจช่วยลดผลกระทบโดยรวมลงได้
2. การลงทุนภาคเอกชนชะลอตัว ตั้งแต่ปี 2566จากผลของระดับความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่ลดลงและความไม่แน่นอนด้านนโยบาย ทั้งนี้ การใช้จ่ายของภาคธุรกิจยังคงอยู่ในระดับจํากัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการก่อสร้าง การปรับปรุงการผลิต และการขยายโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่
ขณะที่ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น บริษัทในไทยมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น และความไม่แน่นอนของห่วงโซ่อุปทานปัจจัยภายนอกเหล่านี้อาจส่งผลให้อุปสงค์ภายในประเทศลดลงและทําให้ บางบริษัทต้องตัดสินใจเลื่อนแผนการใช้เงินลงทุนออกไป ผู้ออกตราสารหนี้หลายรายเลือกที่จะ “เก็บเงินสดเอาไว้และทบทวนกลยุทธ์การลงทุนใหม่” โดยตัวเลขเงินลงทุนได้ลดลงในหลายภาคอุตสาหกรรมหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ปี 2567 จนถึงไตรมาสแรกของปี 2568
“ผลกระทบต่อการจัดอันดับเครดิต” การชะลอการลงทุนของภาคเอกชนคาดว่าจะสร้าง แรงกดดันในเชิงลบต่ออันดับเครดิตของภาคธุรกิจที่พึ่งพาการใช้เงินลงทุนและการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม บริษัทในกลุ่มวัสดุก่อสร้างและกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง อาจเผชิญกับคําสั่งซื้อที่ลดลงและโครงการที่ถูกเลื่อนออกไปซึ่งจะส่งผลให้รายได้และการสร้างกระแสเงินสดลดลงผู้ผลิตในภาคอุตสาหกรรมและผู้จําหน่ายสินค้าทุน (Capital Goods) มีแนวโน้มที่จะเผชิญกับความต้องการเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ลดลง ซึ่งจะกระทบต่อรายได้และความสามารถในการทํากําไร
ขณะที่ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่เน้นด้านพื้นที่อุตสาหกรรมหรือพาณิชยกรรม (Industrial and Commercial Property Developers) อาจเผชิญกับยอดขายที่ดินที่ลดลงและกิจกรรมการให้เช่าที่ชะลอตัวซึ่งแนวโน้มเหล่านี้อาจนําไปสู่การเสื่อมถอยของตัวชี้วัดด้านเครดิต (Credit Metrics) โดยเฉพาะอย่างยิ่งสําหรับผู้ออกตราสารหนี้ที่มีต้นทุนคงที่สูง มีภาระหนี้สินอยู่ในระดับสูงหรือมีความยืดหยุ่นทางการเงินที่จํากัด
3.แรงกดดันเพิ่มเติมต่อการบริโภคภายในประเทศที่ยังอ่อนแอ ด้วยการบริโภคในประเทศของไทยยังฟื้นตัวได้อย่างจํากัด โดยระดับหนี้ครัวเรือนอยู่ที่สูงประมาณ 90%ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) เป็นปัจจัยที่จํากัดการใช้จ่ายของครัวเรือน ในขณะเดียวกัน ธนาคารก็มีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้นเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของลูกหนี้ด้อยคุณภาพ (NPL) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคสินเชื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อรถยนต์ทั้งนี้ มาตรการภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและกําลังซื้อของไทยซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงให้แก่บริษัทที่พึ่งพาอุปสงค์ภายในประเทศด้วย
“ผลกระทบต่อการจัดอันดับเครดิต” ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยกําลังเผชิญกับแรงกดดันด้านเครดิตที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากการบริโภคภายในประเทศที่ยังคงอ่อนแอ ระดับหนี้ครัวเรือนที่สูง และการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดมากขึ้นของธนาคารส่งผลให้อุปสงค์ในการซื้อที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้มีรายได้ต่ำถึงปานกลางลดลง ยอดขายที่ชะลอตัวและการเลื่อนการเปิดตัวโครงการใหม่มีแนวโน้มที่จะกดดันรายได้และกําไรและเพิ่มความเสี่ยงด้านสินค้าคงคลัง “ผู้พัฒนาที่พึ่งพาผู้ซื้อในประเทศเป็นหลัก หรือมีแผนขยายธุรกิจเชิงรุกอาจเผชิญกับการปรับลดอันดับเครดิต” ในขณะที่ผู้พัฒนาที่มีโครงการระดับบนหรือมีรายได้ประจําจากค่าเช่าจะมีความสามารถในการรับมือกับความผันผวนได้ดีกว่า
ผู้ให้บริการสินเชื่อรายย่อย ก็เผชิญกับแรงกดดันที่เพิ่มสูงขึ้นจาก "การเพิ่มขึ้นของหนี้เสีย" โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มสินเชื่อรถยนต์และสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกันในภาวะที่ระดับหนี้ครัวเรือนอยู่ที่ประมาณ 90%ของ GDP และมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อของผู้ประกอบการมีความเข้มงวดมากขึ้นการเติบโตของสินเชื่อก็คาดว่าจะมีแนวโน้มชะลอตัว
ขณะที่ ค่าใช้จ่ายด้านเครดิตเพิ่มสูงขึ้นอันเนื่องมาจากคุณภาพสินทรัพย์ที่เสื่อมถอยลงส่งผลให้ความสามารถในการทํากําไรมีแนวโน้มที่จะอ่อนแอลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสําหรับผู้ให้สินเชื่อที่มีเงินทุนสํารองต่ำ หรือมีการปล่อยสินเชื่อให้แก่กลุ่มลูกค้าที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งอาจส่งผลให้มีโอกาสถูกปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตหรือปรับลดอันดับเครดิตเพิ่มขึ้นในอนาคต







