หุ้นไทยภาคบ่ายพุ่งแรง 29.18 จุด เจรจาการค้าฝั่งอาเซียนคลี่คลาย ลุ้นไทยเหลือ 20-25%

หุ้นไทยภาคบ่าย บวกแรง 29.18 จุด หรือ 2.45% หรืออยู่ที่ 1,220.93 จุด โบรก เผยเจรจาการค้าฝั่งอาเซียนคลี่คลาย ลุ้นไทยเหลือ 20-25% แนะปรับพอร์ต 4 กลุ่มรับความผันผวน
KEY
POINTS
- ตลาดหุ้นไทยภาคบ่ายปรับตัวขึ้นแรง 29.18 จุด หรือ 2.45% มาอยู่ที่ 1,220.93 จุด โดยได้รับปัจจัยหนุนจากข่าวดีเรื่องการเจรจาการค้าในต่างประเทศ
- สถานการณ์การเจรจาการค้าคลี่คลายลงหลังฟิลิปปินส์ได้ดีลภาษีที่ 19% และมีแนวโน้มที่จีนและสหรัฐฯ จะกลับมาเจรจากันอีกครั้ง
- นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าไทยมีแนวโน้มจะได้รับอัตราภาษีที่ระดับ 20-25% ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับประเทศอื่นในอาเซียน เช่น ฟิลิปปินส์ (19%) เวียดนาม (20%) และมาเลเซีย (25%)
- การคาดการณ์อัตราภาษีที่ 20-25% ทำให้มองว่าผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยจะไม่รุนแรงเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง
ความเคลื่อนไหว "หุ้นไทย" ภาคบ่าย ณ 23 ก.ค. 2568 เวลา 14.20 น. บวกแรง 29.18 จุด หรือ 2.45% หรืออยู่ที่ 1,220.93 จุด มูลค่าการซื้อขาย 32,088.88 ล้านบาท
พิริยพล คงวาณิช ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์พื้นฐานสายงานวิจัย บล.บัวหลวง ให้สัมภาษณ์กับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า วันนี้ตลาดหุ้นได้ปรับตัวขึ้นตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยหนุนข่าวดีจากต่างประเทศเป็นหลัก จากดีลภาษีกับฟิลิปปินส์ มีการประกาศออกมาแล้วที่ระดับ 19% และการเจรจาการค้า ระหว่างจีนและสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะกลับมาพูดคุยกันอีกครั้ง ซึ่งปัจจุบันจีนถูกเก็บภาษีสูงถึง 55% ซึ่งจะหมดอายุในช่วงประมาณวันที่ 12 ส.ค.นี้ และจะมีการพูดคุยกันว่าจะมีการขยายเวลาการเจรจาออกไป ขณะที่ญี่ปุ่น ก็ได้รับดีลที่ 15%
สำหรับ ประเทศในภูมิภาคอาเซียนเริ่มเห็นอัตราภาษีที่ใกล้เคียงกัน เช่น ฟิลิปปินส์ 19% เวียดนาม 20% อินโดนีเซีย 19% และมาเลเซีย 25% ซึ่งคาดการณ์ว่าไทยเองน่าจะได้อัตราภาษีที่ 20-25% ซึ่งหมายความว่าผลกระทบต่อตลาดจะไม่รุนแรงนักเมื่อเทียบกับคู่แข่ง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะเห็นโฟลว์ของนักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาซื้อ ขณะที่แนวโน้มตลาดหุ้นได้รับข่าวดีและปรับตัวขึ้นมามากพอสมควรแล้ว หากมีการประกาศอัตราภาษีที่ 20-25% จริง ตลาดอาจมีแรง Sell on fact หรือมีการเทขายทำกำไรออกมา หลังจากนั้นคาดว่าตลาดจะเคลื่อนไหวออกข้าง เนื่องจากที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นได้ปรับตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วมาก โดยเฉพาะในเดือนก.ค.นี้ ซึ่งบวกไปแล้วกว่า 10% ทั้งนี้ ในระยะถัดไป หากสถานการณ์การเมืองในประเทศไม่มีปัจจัยที่น่าตกใจ คาดว่าตลาดจะยังคงมีทิศทางค่อยๆ ปรับตัวขึ้นได้
ทั้งนี้ แนะนำนักลงทุนในสถานการณ์ปัจจุบัน หากเกิดการ Sell on fact ขึ้น ถือเป็นจังหวะที่ดีในการปรับพอร์ตการลงทุน ซึ่งควรแบ่งพอร์ตการลงทุนออกเป็น 3-4 ส่วนหลัก
1.หุ้นปันผล สำหรับการลงทุนระยะยาว เพื่อให้มีกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ เนื่องจากดัชนีระดับในปัจจุบันถือว่าต่ำมาก และมีหุ้นหลายตัว เช่น กลุ่มธนาคาร ที่ยังคงแข็งแกร่งและให้อัตราปันผลประมาณ 6-7%
2.หุ้นเติบโตในอนาคต กลุ่มนี้เป็นหุ้นที่เชื่อมโยงกับเมกะเทรนด์ เช่น Data Center และเทคโนโลยี AI เช่น หุ้น GULF และหุ้นกลุ่มสื่อสาร
3.หุ้นกลุ่ม Global Play หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการจบ Trade War กลุ่มนี้เป็นหุ้นที่ถูกกดดันมานาน แต่คาดว่าจะเริ่มฟื้นตัวได้อย่างชัดเจนเมื่อการเจรจาทางการค้าระหว่างประเทศมีข้อสรุป เช่น กลุ่มปิโตรเคมี
4.หุ้นเก็งกำไรระยะสั้น หุ้นที่มีผลประกอบการโดดเด่น เน้นกลุ่มที่คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 2/68 จะออกมาดี เช่น หุ้นกลุ่มเครื่องดื่มชูกำลัง เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบอย่างเศษแก้วและน้ำตาลปรับตัวลดลงอย่างมาก และบริษัทได้ล็อกต้นทุนต่ำนี้ไว้ถึงไตรมาส 3/68 แล้ว
ดังนั้นการจัดพอร์ตการลงทุนในลักษณะนี้ จะช่วยให้นักลงทุนสามารถรับมือกับสถานการณ์ตลาดได้อย่างครบวงจรทั้งในระยะสั้นและระยะยาว






