เศรษฐกิจโลกเป็น Teflon Economy เศรษฐกิจไทยเสี่ยงการเมือง ลงทุนอย่างไร

ท่ามกลางความไม่แน่นอนสูง เราแนะนำกลยุทธ์ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลักและ 3 ธีมเทรดดิ้ง โดยธีมหลักได้แก่ (1) หุ้น Earning Play ที่โมเมนตัมกำไรยังเติบโตแข็งแกร่ง เช่น ADVANC BCH CBG CPALL SCCC (2) หุ้น Defensive ที่ผันผวนต่ำและต้านทานความเสี่ยงได้ดี เช่น ADVANC BBL PTT และ (3) หุ้นปันผลคุณภาพดี
ในปัจจุบัน ดัชนีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก (Economic Policy Uncertainty Index) ได้พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในศตวรรษนี้ ทะลุระดับที่เคยเกิดขึ้นในช่วงวิกฤติการเงินโลกปี 2008 และการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นโลกยังคงสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างน่าประหลาดใจ โดย ดัชนี S&P 500 และ MSCI World ยังคงอยู่ใกล้จุดสูงสุดตลอดกาล ดัชนีในเอเชียโดยเฉพาะฮ่องกงและเกาหลีพุ่งขึ้นกว่า 20-30% นับจากต้นปีที่ผ่านมา
ขณะที่ดัชนีวัดความผันผวนอย่าง VIX Index ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว ปรากฏการณ์นี้ นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า “Teflon Economy” หรือเศรษฐกิจเทฟลอนที่ไม่ติดคราบวิกฤติ เพราะแม้วิกฤติต่าง ๆ ผ่านเข้ามา เศรษฐกิจโลกในภาพรวมยังคงเติบโตได้ต่อเนื่อง จากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานในอดีตและปัจจุบันในสามด้านหลัก
ด้านแรก ได้แก่ การปรับปรุงความสามารถในการจัดการความเสี่ยงของภาคเอกชน ระบบห่วงโซ่อุปทานสมัยใหม่มีการบริหารจัดการแบบมืออาชีพมากขึ้น มีระบบการสื่อสารและเทคโนโลยีที่ช่วยในการปรับเส้นทางได้อย่างรวดเร็ว การวิเคราะห์ข้อมูลการนำเข้าสินค้า 33,000 รายการของสหรัฐตั้งแต่ปี 1989 ของนิตยสาร The Economist แสดงให้เห็นว่า อัตราการ “ล้มเหลว” ของห่วงโซ่อุปทาน (วัดจากการนำเข้าสินค้าต่าง ๆ ที่ลดลงเมื่อราคาสินค้าเพิ่มขึ้น) มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ในปัจจุบัน ดัชนี PMI ในภาพรวมทั่วโลก (Global composite index) ที่ไม่ได้แย่มาก แม้ดัชนีที่เกี่ยวข้องกับราคาสินค้านำเข้าพุ่งสูงขึ้น บ่งชี้ว่า ห่วงโซ่อุปทานมีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้นและผู้ประกอบการปรับตัวรับมือความเสี่ยงได้ดีขึ้น
ด้านที่สอง การเปลี่ยนแปลงบทบาทของรัฐบาล รัฐบาลประเทศพัฒนาแล้วสามารถใช้นโยบายการคลังและการเงินเพื่อรองรับเศรษฐกิจทันทีที่เกิดวิกฤต ในช่วงโควิด รัฐบาลของ 7 ประเทศที่เราติดตามใกล้ชิด พบว่ามีหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นกว่า 20% ของ GDP ขณะที่ในปี 2022 รัฐบาลยุโรปใช้จ่ายเพิ่มอีก 3% ของ GDP เพื่อรับมือวิกฤตพลังงาน (ทำให้เศรษฐกิจไม่ได้แย่มากนัก) ขณะที่ในปัจจุบัน รัฐบาลทั่วโลกโดยเฉพาะสหรัฐและจีนยังคงมีมาตรการสนับสนุนเศรษฐกิจ โดยในสหรัฐมี OBBBA (One big beautiful bill act) ที่ช่วยลดทอนภาษีท้องถิ่นและภาษีรายได้จากการบริการเช่น ค่าเงินทิป และจีนมีมาตรการการคลังต่างๆ โดยเฉพาะมาตรการลดหย่อนภาษีที่ขายสินค้าเก่าและแลกซื้อสินค้าใหม่ ที่ยังช่วยหนุนภาคการผลิตและการบริโภค
ด้านสุดท้าย ในส่วนความเสี่ยงภาษีการค้าล่าสุด โดยเฉพาะภาษีตอบโต้ (reciprocal tariff) เป็นไปได้ที่น่าจะเพิ่มขึ้นอย่างจำกัด เนื่องจากหากเพิ่มแรงเกินไปอาจกระทบต่อความเสี่ยงเงินเฟ้อในสหรัฐที่สูงขึ้น ขณะที่ในปัจจุบัน ภาษียังเป็นคำขู่ โดยการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับอินโดนีเซียและเวียดนาม ลดทอนจากที่เคยประกาศไว้ในวันที่ 2 เม.ย. ประกอบกับยังมีแนวโน้มว่าอาจจะมีการเลื่อนอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผลกระทบต่อเศรษฐกิจปีนี้อาจไม่รุนแรงมาก
แม้เศรษฐกิจโลกจะมีความทนทานเพิ่มขึ้น แต่ยังมีความเสี่ยงสำคัญสามประการ ประการแรก ภาระหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูง หนี้สาธารณะของประเทศต่างๆ เพิ่มขึ้นกว่าก่อนโควิดอย่างมีนัยสำคัญประมาณ 20% ท่ามกลางอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 200-300 bps จากช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ทำให้ต้นทุนทางการเงินของรัฐบาลเพิ่มมากขึ้น ประการที่สอง ความเสี่ยงเงินเฟ้อสหรัฐ เงินเฟ้อที่สูงขึ้นโดยเฉพาะในสหรัฐจะทำให้การลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐทำได้ยากขึ้น ท่ามกลางการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางอื่นๆ ซึ่งจะทำให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ประการสุดท้าย ความเสี่ยงในประเทศกำลังพัฒนา โดยเศรษฐกิจประเทศกำลังพัฒนาจะเผชิญความเสี่ยงการชะลอตัวและการผิดนัดชำระหนี้ที่มากขึ้นในสองถึงสามปีข้างหน้า
สำหรับเศรษฐกิจไทย แม้ความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางการเมืองจะมีมากขึ้น แต่เรามองว่า การยุบสภาหลังผ่าน พ.ร.บ. งบประมาณเป็นไปได้สูงสุด (70-80%) เนื่องจากสอดคล้องกับแผนของพรรคเพื่อไทยที่ต้องการทำภารกิจสำคัญ (ผ่านร่างงบประมาณฯ และการเจรจาภาษีทรัมป์) ให้เสร็จก่อน ขณะที่การยุบสภาก่อนผ่านงบประมาณมีความเป็นไปได้ต่ำ (15-20%) เพราะจะสร้างวิกฤตการบริหารประเทศ โดยไทม์ไลน์ที่เป็นไปได้คือผ่านงบประมาณภายใน ก.ย. เจรจาภาษีสหรัฐฯ ให้เสร็จใน ต.ค. - พ.ย. ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินคดีนายกฯ แพทองธารช่วงหลังจากนั้น และการยุบสภาจัดเลือกตั้งใหม่อาจเริ่มต้นปี 2569
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความไม่แน่นอนสูง เราแนะนำกลยุทธ์ “Selective Buy” ใน 3 ธีมหลักและ 3 ธีมเทรดดิ้ง โดยธีมหลักได้แก่ (1) หุ้น Earning Play ที่โมเมนตัมกำไรยังเติบโตแข็งแกร่ง เช่น ADVANC BCH CBG CPALL SCCC (2) หุ้น Defensive ที่ผันผวนต่ำและต้านทานความเสี่ยงได้ดี เช่น ADVANC BBL PTT และ (3) หุ้นปันผลคุณภาพดี โดยเฉพาะ SET50 ที่มี SETESG Rating A ขึ้นไป เช่น ADVANC BBL PTT ขณะที่ในธีมเทรดดิ้ง เราแนะนำ (1) หุ้น Undervalue ที่มี PER และ PBV ต่ำ เช่น BBL BCPG BDMS CPALL DIF PTT SIRI TIDLOR (2) หุ้นที่คาดฟื้นตัวเร็วหากเชื่อว่าการเจรจาภาษีไทย-สหรัฐฯ ออกมาดี แนะนำ AMATA GPSC WHA และ (3) แนะนำหาจังหวะขายทำกำไรระยะสั้นหลังก่อนหน้าราคาหุ้นปรับขึ้นแรงสะท้อนการแต่งตั้งผู้ว่าฯ ธปท. ท่านใหม่แล้วระดับหนึ่ง อันได้แก่ MTC และ TIDLOR
ขอให้นักลงทุนโชคดี
- รวมทุกช่องทาง InnovestX official ให้คุณได้ติดตามข้อมูลข่าวสารการลงทุนรอบโลก คลิก : https://linktr.ee/InnovestX
- เปิดบัญชีลงทุน InnovestX วันนี้! เปิดครั้งเดียวลงทุนได้ครบทั้งจักรวาลการลงทุน
โหลดเลย คลิก https://innovestx.onelink.me/23if/ek1n76zm
- ติดตามบทวิเคราะห์การลงทุนอื่นๆ เพิ่มเติมจาก InnovestX คลิก : https://bit.ly/respublisher
#InnovestX #InnovestXResearch #InnovestXApp #จักรวาลการลงทุนในมือคุณ
*ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้







