KBANK ร่วง 2.18% สวนกลุ่มแบงก์ที่เป็นบวก กังวลต้นทุนเครดิตอาจสูงกว่าเป้า

KBANK ร่วง 2.18% สวนกลุ่มแบงก์ที่เป็นบวก กังวลต้นทุนเครดิตอาจสูงกว่าเป้า

หุ้น KBANK ปรับตัวลดลง 2.18% สวนทางกับหุ้นธนาคารในกลุ่มที่ส่วนใหญ่เป็นบวก นักวิเคราะห์เผย สาเหตุหลักมาจากความกังวลของตลาดต่อมุมมองผู้บริหารที่คาดว่าต้นทุนเครดิต (credit cost) ในปีนี้อาจสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้

KEY

POINTS

  • หุ้น KBANK ปรับตัวลดลง 2.18% ในช่วงเช้าวันที่ 22 ก.ค. 2568 สวนทางกับหุ้นธนาคารอื่นในกลุ่มที่ส่วนใหญ่เป็นบวก
  • สาเหตุหลักมาจากความกังวลของตลาดต่อมุมมองผู้บริหารที่คาดว่าต้นทุนเครดิต (credit cost) ในปีนี้อาจสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้
  • ผู้บริหารประเมินว่าต้นทุนเครดิตอาจสูงกว่าเป้าเดิมที่ 1.6% แต่ไม่น่าจะเกิน 1.7% โดยความเสี่ยงมาจากพอร์ตสินเชื่อกลุ่ม SME
  • ผลประกอบการล่าสุดของธนาคารมีกำไรลดลง 1.3% จากปีก่อน และ 9.4% จากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่กดดันราคาหุ้น

ความเคลื่อนไหว"ตลาดหุ้นไทย"ภาคเช้า ณ วันที่ 22 ก.ค.2568 เวลา 10.05 น. หุ้น KBANK หรือ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ปรับตัวร่วงลงมา 2.18% ลดลง 3.50 บาท ระดับราคาอยู่ที่ 157.00 บาท สวนทางกับกลุ่มแบงก์ที่วันนี้ส่วนใหญ่ปรับตัวเป็นบวก ได้แก่ 

  • หุ้น KKP บวก 2.97% เพิ่มขึ้น 1.50 บาท ระดับราคาอยู่ที่ 52.00 บาท 
  • หุ้น SCB บวก 2.07% เพิ่มขึ้น 2.50 บาท ระดับราคาอยู่ที่ 123.50 บาท 
  • หุ้น TTB บวก 1.58% เพิ่มขึ้น 0.03 บาท ระดับราคาอยู่ที่ 1.93 บาท 
  • หุ้น BBL บวก 1.40% เพิ่มขึ้น 2.00 บาท ระดับราคาอยู่ที่ 144.50 บาท 
  • หุ้น LHFG บวก 1.33% เพิ่มขึ้น 0.01 บาท ระดับราคาอยู่ที่ 0.76 บาท 
  • หุ้น TISCO บวก 0.77% เพิ่มขึ้น 0.75 บาท ระดับราคาอยู่ที่ 98.50 บาท

KBANK ร่วง 2.18% สวนกลุ่มแบงก์ที่เป็นบวก กังวลต้นทุนเครดิตอาจสูงกว่าเป้า

กรรณ์ หทัยศรัทธา หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน และ นักเศรษฐศาสตร์ สายงานวิจัย บล. ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) ให้สัมภาษณ์กับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า KBANK เผชิญกับแรงเทขายในเช้าวันนี้ ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงสวนทางกับธนาคารขนาดใหญ่อื่นๆ ในกลุ่ม โดยสาเหตุหลักมาจากผลประกอบการไตรมาสล่าสุดและมุมมองของผู้บริหารต่อแนวโน้มต้นทุนเครดิต หรือ credit cost ที่อาจสูงกว่าเป้าหมายที่เคยกำหนดไว้
 

ทั้งนี้ กำไรของ KBANK ปรับลดลง 1.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงถึง 9.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า แม้ว่าตัวเลขกำไรดังกล่าวจะสอดคล้องกับการประมาณการของตลาด แต่สิ่งที่ทำให้ตลาดกังวลและกดดันราคาหุ้นคือ มุมมองของผู้บริหารที่คาดว่า ต้นทุนเครดิต หรือค่าใช้จ่ายทางเครดิต มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้น

ทั้งนี้ ผู้บริหาร KBANK ประเมินว่าต้นทุนเครดิตในปีนี้อาจสูงกว่าเป้าหมายเดิมที่  1.6% แต่ไม่น่าจะเกิน 1.7% จากความกังวลดังกล่าวมีที่มาจากองค์ประกอบสินเชื่อของธนาคาร โดยเฉพาะ พอร์ตสินเชื่อกลุ่ม SME ที่ตลาดมองว่าเป็นจุดที่อาจมีความเสี่ยง

"สถานการณ์ของ KBANK ตรงกันข้ามกับธนาคารอื่นในกลุ่ม เช่น KKP ที่สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายเครดิตหรือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL ได้ดีขึ้นอย่างชัดเจนในงบการเงิน" 

อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ยังคงน่าสนใจ แต่ในระยะสั้น KBANK มีประเด็นด้านจิตวิทยาเชิงลบ จึงแนะนำหุ้นธนาคารขนาดใหญ่อื่นๆ ได้แก่ KTB และ SCB โดย KTB มีปัจจัยบวกด้านจิตวิทยาจากการที่หุ้นการบินไทย (THAI) อาจกลับเข้าซื้อขายอีกครั้ง ซึ่งอาจส่งผลให้มีการปรับประมาณการกำไรของ KTB ส่วน SCB มีจุดเด่นในเรื่องการจ่ายเงินปันผลที่สูงกว่า KBANK เล็กน้อย