ดาวโจนส์ ปิดตลาดลงกว่า 100 จุด กังวลทรัมป์ตั้งกำแพงภาษีอียู 20% 

ดาวโจนส์ ปิดตลาดลงกว่า 100 จุด กังวลทรัมป์ตั้งกำแพงภาษีอียู 20% 

ดาวโจนส์ ปิดตลาดลดลงมากกว่า 100 จุด S&P 500 ปิดในแดนลบในวันศุกร์ หลังมีรายงานว่าทรัมป์ต้องการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหภาพยุโรปอย่างน้อย 15-20%: 

ซีเอ็นบีซี รายงานว่า ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ลดลงในวันศุกร์ (18 ก.ค.) หลังจากมีรายงานว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผลักดันให้เพิ่มภาษีนำเข้าจากสหภาพยุโรป

ดัชนีดาวโจนส์ Dow Jones Industrial Average ซึ่งประกอบด้วยหุ้น 30 ตัว ลดลง 142.30 จุด หรือ 0.32% ปิดที่ 44,342.19 จุด

ดัชนี S&P 500 ลดลง 0.01% หลังจากทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงเช้า ปิดที่ 6,296.79 จุด

ดัชนี Nasdaq Composite เพิ่มขึ้น 0.05% ปิดที่ 20,895.66 จุด

สื่อตลาดการเงินยักษ์ใหญ่ Financial Times รายงานว่า ทรัมป์เรียกร้องให้เก็บภาษีขั้นต่ำระหว่าง 15% ถึง 20% ในข้อตกลงใดๆ กับ สหภาพยุโรป สหภาพยุโรปกำลังพยายามบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ก่อนถึงเส้นตายของทรัมป์ในวันที่ 1 สิงหาคม ซึ่งทรัมป์ได้ให้คำมั่นว่าจะเริ่มเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหภาพยุโรป 30%

นักลงทุนต่างจับตาดูรายงานผลประกอบการล่าสุดและข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฉบับใหม่

ข้อมูลที่เผยแพร่เมื่อวันศุกร์สะท้อนถึงความกังวลของผู้บริโภคเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อที่เกิดจากภาษีนำเข้าที่ลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ผลสำรวจผู้บริโภคประจำเดือนกรกฎาคมของมหาวิทยาลัยมิชิแกน สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวมเพิ่มขึ้น 1.8% จากเดือนมิถุนายน มาอยู่ที่ 61.8 ซึ่งสอดคล้องกับประมาณการและอยู่ในระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์

ผลประกอบการส่วนใหญ่ออกมาดีเกินคาด

ในส่วนของผลประกอบการ ราคาหุ้น Netflix ลดลง 5% หลังจากที่บริษัทระบุว่าอัตรากำไรจากการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะลดลงจากช่วงครึ่งแรก หุ้น 3M ลดลงมากกว่า 3% หลังจากที่บริษัทปรับลดคาดการณ์การเติบโตของยอดขายปกติให้สะท้อนถึงการเติบโตที่ 2% ซึ่งก่อนหน้านี้ได้คาดการณ์การเติบโตไว้ที่ "ช่วงล่าง 2- 3%"

ผลประกอบการของ American Express ที่ลดลง 2% ฉุดดัชนีดาวโจนส์ลดลง

แม้จะมีกระแสตอบรับที่หลากหลายต่อรายงานผลประกอบการของบริษัทล่าสุด แต่ฤดูกาลนี้ก็เริ่มต้นได้อย่างแข็งแกร่ง

บริษัทในดัชนี S&P 500 ถึง 12% รายงานผลประกอบการแล้ว และ 83% ผลประกอบการดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ราคาหุ้นของ PepsiCo และ United Airlines พุ่งสูงขึ้นหลังจากที่ทั้งสองบริษัทมีผลประกอบการดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ผลประกอบการที่แข็งแกร่งนี้เกิดขึ้นหลังจากธนาคารขนาดใหญ่อย่าง JPMorgan และ Goldman Sachs ได้ประกาศผลประกอบการที่แข็งแกร่งในช่วงต้นสัปดาห์

ทั้งดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ในรอบสัปดาห์เพิ่มขึ้น 0.6% และ 1.5% ตามลำดับ ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลดลงเล็กน้อยในสัปดาห์ที่ผ่านมา

“นี่เป็นสภาพแวดล้อมที่นักลงทุนเปิดรับความเสี่ยง และแม้ว่าจะมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด แต่ความจริงแล้วมีรายละเอียดปลีกย่อยมากกว่านั้น”  เคน มาโฮนีย์  ซีอีโอของ Mahoney Asset Management กล่าว “ในอดีต วงจรขาขึ้นมักจะมีดำเนินไปได้ดีกว่าหากไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย และการปรับลดครั้งแรกมักจะเป็นสัญญาณขาลง  แม้ครั้งนี้จะมีเหตุผลดี (ในการลดดอกเบี้ย) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออัตราเงินเฟ้อเย็นลงและการคาดการณ์การเติบโตของ GDP ยังคงเหมือนเดิม หลังจากที่เราผ่านพ้นความเสี่ยงจากกำแพงภาษีศุลกากรสูงชันไปแล้ว”