‘บจ.’ซื้อหุ้นคืนทะลุ 1.7 หมื่นล้าน 6 เดือนแรก ประกาศวงเงิน 5.2 หมื่นล้าน ‘สถิติสูงสุด’ รอบหลายปี  

‘บจ.’ซื้อหุ้นคืนทะลุ 1.7 หมื่นล้าน 6 เดือนแรก ประกาศวงเงิน 5.2 หมื่นล้าน ‘สถิติสูงสุด’ รอบหลายปี  

‘บจ.’ซื้อหุ้นคืนทะลุ 1.7 หมื่นล้าน 6 เดือนแรก ประกาศวงเงิน 5.2 หมื่นล้าน ‘สถิติสูงสุด’ รอบหลายปี สะท้อนความเชื่อมั่นของบริษัท เหตุมองราคาหุ้นปัจจุบันต่ำกว่า “มูลค่าที่แท้จริง” มาก 

KEY

POINTS

  • ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 มีบริษัทจดทะเบียน 45 แห่ง ประกาศโครงการซื้อหุ้นคืน โดยตั้งวงเงินรวมไว้ที่ 52,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดในรอบหลายปี
  • ยอดการซื้อหุ้นคืนที่เกิดขึ้นจริงนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 26 มิ.ย.2568 มีมูลค่ารวมแล้ว 1.7 หมื่นล้านบาท
  • การประกาศซื้อหุ้นคืนจำนวนมากสะท้อนความเชื่อมั่นของบริษัทต่างๆ ที่มองว่าราคาหุ้นในปัจจุบันอยู่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง ท่ามกลางภาวะตลาดหุ้นที่ตกต่ำ
  • นักวิเคราะห์มองว่าสาเหตุหลักมาจากการที่มูลค่าหุ้น (Valuation) ในตลาดอยู่ในระดับที่ถูกมาก และบริษัทต้องการพยุงราคาหุ้นของตนเอง

6 เดือนแรกปี 2568 “ดัชนีหุ้นไทย” (SET Index) ตั้งแต่ต้นปี (YTD) ปรับตัวลงหนักจนถึงปัจจุบัน (17 ก.ค.2568) “ผลตอบแทน” ติดลบ 17.32% บ่งชี้ผ่านราคาหุ้นของ “บริษัทจดทะเบียน” (บจ.) ดิ่งแรง ! ดังนั้น “เจ้าของบริษัท” ที่มั่นใจในพื้นฐานธุรกิจตัวเอง ต่างพาเหรดกันออกมาเรียก “ความเชื่อมั่น” จากนักลงทุนด้วยการประกาศ “ซื้อหุ้นคืน” เพื่อหวังชะลอไม่ให้ราคาหุ้นปรับตัวลงไปลึกมากกว่ามูลค่าที่แท้จริง... 

สำรวจข้อมูลการเปิด “โครงการซื้อหุ้นคืน” (Treasury Stock) ของบริษัทจดทะเบียนไทยในช่วงดังกล่าว พบว่ามีถึง 45 บริษัท ที่ประกาศรับซื้อหุ้นบริษัทตนเองคืน หลังราคาหุ้นปรับตัวลงรุนแรง โดยทั้งหมดเทงบซื้อหุ้นคืนรวมกัน 52,000 ล้านบาท ซึ่งนับว่าเป็น “สถิติสูงสุด” ในรอบหลายปี ขณะเดียวกัน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และหน่วยงานภาครัฐกำลังเร่งการพิจารณาผ่อนคลายกฎเกณฑ์เพื่อสนับสนุนกลไกเพิ่มเติมอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม “กูรูตลาดทุนไทย” ระบุว่า ตัวชี้วัด Valuation ไม่ว่าจะเป็น P/E หรือ Price to Book ที่ถูกมาก ทำให้ในปี 2568 มีการประกาศ “ซื้อหุ้นคืน” ที่เพิ่มขึ้น

“อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล” ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ปี 2568 ใน “ตลาดหุ้นไทย” มีการประกาศซื้อหุ้นคืนที่ค่อนข้างสูงเป็นพิเศษ ซึ่งเมื่อดูข้อมูล 6 เดือนแรกของปี พบว่ามีวงเงินซื้อหุ้นคืนสูงถึงประมาณ 52,000 ล้านบาท แม้จะยังไม่เทียบเท่าปี 2563 หรือช่วงปีที่มีวิกฤติโควิด-19 ซึ่งในปีโควิดที่มีวงเงินซื้อหุ้นคืนเกือบตลอดทั้งปีอยู่ที่ 80,000 ล้านบาท แต่สำหรับในครึ่งแรกปี 2568 มีวงเงินมากกว่าครึ่งหนึ่งของสถิติสูงสุดก็ถือว่าสูงมากแล้ว และแสดงให้เห็นว่าบริษัทจดทะเบียนให้ความสนใจในการซื้อหุ้นคืนมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าในปีนี้ “ตลาดตกต่ำ” และ “มูลค่าหุ้นต่ำกว่าที่ควรเป็น” ดังนั้น บริษัทจึงเข้าซื้อคืนเพื่อพยุงราคา และแสดงให้เห็นว่า ฐานะการเงินของบริษัทแข็งแกร่งสะท้อนความมั่นคงทางการเงินที่ทำให้บริษัทสามารถซื้อหุ้นคืนได้

อย่างไรก็ตาม คาดว่าแนวโน้มการทยอยซื้อหุ้นคืนจะยังคงมีอยู่ ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ฯ และรัฐบาลกำลังพิจารณาเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์การซื้อหุ้นคืนให้ผ่อนปรน และง่ายขึ้น ซึ่งหากสำเร็จ และมีผลบังคับใช้ จะยิ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียนตัดสินใจซื้อหุ้นคืนได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการพิจารณาขยายระยะเวลาขายคืนจากเดิมที่ต้องขายหุ้นคืนภายใน 3 ปี จะขยายเวลาอีก 2 ปี รวมเป็น 5 ปี ในกรณีที่ราคาหุ้นยังขาดทุนหรือไม่ปรับขึ้น และจากเดิมที่ต้องรออย่างน้อย 6 เดือนหลังจากการซื้อหุ้นคืนครั้งแรกก่อนจะซื้อคืนใหม่ได้ กฎใหม่จะอนุญาตให้ซื้อต่อเนื่องได้ทันที

สำหรับ กฎเกณฑ์ดังกล่าวที่ “ยืดหยุ่นขึ้น” จะช่วยให้บริษัทที่แข็งแกร่ง และมีราคาหุ้นตกต่ำเกินไป ตัดสินใจใช้มาตรการซื้อหุ้นคืนได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องติดข้อจำกัดด้านเวลา และมีทางเลือกในการบริหารจัดการหุ้นที่ซื้อคืนมาได้มากขึ้น

“สถิติการซื้อหุ้นคืนในปี 2568 ตั้งแต่ต้นปี มีบริษัทจดทะเบียนที่ประกาศซื้อหุ้นคืนแล้ว ทั้งหมด 45 บริษัท และมีวงเงินที่ตั้งไว้รวมกันอยู่ที่ 52,000 ล้านบาท”

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นักลงทุนต้องจับตาดูว่า รัฐบาลจะสามารถผลักดัน กฎหมายงบประมาณปี 2569 ให้สำเร็จภายในเดือน ก.ย.นี้ได้หรือไม่ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อเศรษฐกิจมากกว่าประเด็นการเมืองอื่นๆ เช่น การชุมนุม หรือคดีความต่างๆ 

“พิริยพล คงวาณิช” ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์พื้นฐานสายงานวิจัย บล.บัวหลวง ให้ข้อมูลต่อไปว่า ราคาหุ้นในปัจจุบันต่ำกว่าพื้นฐาน โดยพิจารณาจากตัวชี้วัด Valuation ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น P/E หรือ Price to Book ที่ถูกมาก ทำให้ในปีนี้มีการซื้อหุ้นคืนที่เพิ่มขึ้น โดยบริษัทที่ซื้อหุ้นคืนมักจะมองเช่นเดียวกับนักลงทุนทั่วไป คือ ต้องการซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำเพื่อไปขายในราคาสูง นอกจากราคาหุ้นที่ต่ำกว่าพื้นฐานแล้ว บริษัทต้องการพยุงราคาหุ้นของบริษัทตัวเองไว้ด้วย ซึ่งตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจนถึง 26 มิ.ย.2568 มี “ยอดซื้อหุ้นคืน” อยู่ที่ 1.7 หมื่นล้านบาท

ขณะที่ แนวโน้มการซื้อหุ้นคืนคาดว่าจะยังมีต่อไป เนื่องจากตลาดอยู่ในช่วง “ขาลง” ซึ่งทิศทางตลาดในช่วงครึ่งปีหลังยังมีปัจจัยเข้ามากดดัน โดยภาพรวมตลาดหุ้นในปีนี้ถือว่าค่อนข้างโหด มีปัจจัยลบหลายประการที่ส่งผลกระทบต่อตลาดอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็น ภัยธรรมชาติ สงครามต่างประเทศ สงครามการค้า และการเมืองในประเทศ

รวมทั้งผลของการเจรจาเกี่ยวกับภาษีนำเข้าระหว่างสหรัฐ - ไทย ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะออกมาในโทนบวกได้หรือไม่ ซึ่งหากออกมาแย่ก็อาจเป็นปัจจัยลบที่กดดันให้ราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยส่วนใหญ่ปรับตัวลงได้มากกว่านี้ด้วย

“ประกิต สิริวัฒนเกตุ” กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ จำกัด ให้ข้อมูลเสริมว่า ตลาดหุ้นไทยในขณะนี้ มี Valuation ที่ถูก ส่งผลให้การซื้อหุ้นคืนของบริษัทต่างๆ เป็นเรื่องปกติ ซึ่งสาเหตุหลักมาจากราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาต่ำ อยู่ใกล้เคียงกับ Book Value

นอกจากนี้ บริษัทส่วนใหญ่ในประเทศไทย แม้ว่าจะไม่ได้มีการเติบโตที่โดดเด่น แต่ยังคงมี “กำไร” และ “มีเงินสด” อยู่ในมือในระดับที่พอสมควร ทำให้สามารถดำเนินการซื้อหุ้นคืนได้ ซึ่งกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในการซื้อหุ้นคืนในอนาคต ได้แก่ “กลุ่มธนาคาร” (แบงก์) เช่น ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK และ “กลุ่มพลังงาน” เช่น บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP เป็นต้น

สำหรับทิศทางของตลาดหุ้นไทยยังคงต้องเฝ้าติดตามใกล้ชิด ทั้งจากสถานการณ์การเมือง และการผ่านงบประมาณปี 2569 ปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะกำหนดทิศทางของตลาดหุ้นไทยในช่วงปลายปีนี้ว่าจะมีความชัดเจนอย่างไร และจังหวะเวลาของการยุบสภา กรณีการยุบสภาเร็วก่อนที่งบประมาณปี 2569 จะผ่าน หุ้นไทยอาจจะปรับตัวลง และอาจทำจุดต่ำสุดใหม่ เนื่องจากงบประมาณปี 2569 จะไม่ถูกนำมาใช้ ซึ่งจะส่งผลให้ GDP ของประเทศหายไปเกือบ 1% และเป็นข่าวร้ายสำหรับตลาดหุ้นไทยได้ 

“ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ยังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย และยังมีความเสี่ยงที่ GDP ไทยจะถูกปรับลงได้อีก ซึ่งก็อาจจะทำให้หุ้นหลายๆ บริษัทยังสามารถปรับตัวลงได้ต่อในช่วงดังกล่าว จึงทำให้น่าจะยังเห็นการทยอยประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนออกมา”

‘บจ.’ซื้อหุ้นคืนทะลุ 1.7 หมื่นล้าน 6 เดือนแรก ประกาศวงเงิน 5.2 หมื่นล้าน ‘สถิติสูงสุด’ รอบหลายปี  

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์