‘หุ้นไทย’ ยังมีโอกาส (และน่าสนใจ) อยู่ไหมในมุมมองต่างชาติ ?

‘หุ้นไทย’ ยังมีโอกาส (และน่าสนใจ) อยู่ไหมในมุมมองต่างชาติ ?

"ตลาดหุ้นไทย" ยังมีโอกาส (และความน่าสนใจ) อยู่ไหมในมุมมองนักลงทุนต่างชาติ "กรุงเทพธุรกิจ" ชวนหาคำตอบกับบทสัมภาษณ์จากผู้บริหาร DBS Security สิงคโปร์

KEY

POINTS

  • DBS มอง ตลาดหุ้นเอเชียรวมถึงไทยมีความน่าสนใจในเชิงมูลค่าและมีจุดเด่นที่หุ้นปันผลสูงและมั่นคง
  • DBS แนะนำให้โยกเงินลงทุนจากสหรัฐมายังเอเชียได้ประมาณ 2-3% ของพอร์ตการลงทุน
  • ภาคส่วนที่ยังน่าสนใจในไทย ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์, โทรคมนาคม, สินค้าอุปโภคบริโภค (เฉพาะตัวที่มีแบรนด์แข็งแกร่ง), และการศึกษา
  • แม้ต่างชาติจะขายสุทธิหุ้นไทยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่ยังไม่ทิ้งตลาดและยังคงสอบถามถึงโอกาสการลงทุนอยู่เสมอ
  • หุ้นที่ไม่ได้รับผลกระทบจากนโยบายการค้าและราคายังไม่สูงมาก เช่น โรงพยาบาล, ห้างสรรพสินค้า, REITs, กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (IFF), และสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น ยังคงน่าสนใจ
  • ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น และการคาดการณ์ว่าธปท.อาจลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง

ท่ามกลางความผันผวนเศรษฐกิจโลกจากความไม่แน่นอนของระเบียบการค้าหลังการเข้ามาของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐ “เศรษฐกิจอาเซียน” ถือเป็นกลุ่มประเทศที่ได้รับผลกระทบ “หนักที่สุด” เพราะการส่งออกคือเครื่องจักรหลัก อย่างประเทศไทย สัดส่วนการส่งออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งไปสหรัฐเฉลี่ยอยู่ที่ 18% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ซึ่งถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับอีกหลายประเทศ

นอกเหนือจากนี้ เศรษฐกิจไทยยังเผชิญกับ “ปัญหาเชิงโครงสร้าง” จำนวนมากไปว่าจะเป็นหนี้ครัวเรือนที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกระทบความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน หนี้สาธารณะที่ขยายตัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 สถานะทางการคลังอ่อนแอลงอย่างต่อเนื่องจากการทำนโยบายประชานิยมของรัฐบาล รวมไปถึงความไม่แน่นอนทางการเมือง

แล้วหุ้นไทยยังน่าสนใจอยู่ไหม...

ทั้งปัญหาระยะสั้นและระยะยาวทั้งหมดทำให้หลายคนตั้งคำถามว่าในมุมมองเรื่องการลงทุนประเทศไทยยังน่าสนใจอยู่หรือไม่โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงที่ว่าในปี 2025 ดัชนีตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดที่ทำผลงานได้แย่ที่สุด โดยตั้งแต่ต้นปีจนถึงช่วงปลายเดือนมิ.ย. ดัชนีฯ ร่วงลงกว่า 24% ซึ่งต่ำที่สุดในรอบ 5 ปี

‘หุ้นไทย’ ยังมีโอกาส (และน่าสนใจ) อยู่ไหมในมุมมองต่างชาติ ?

คำตอบง่ายๆ ก็คือยังไม่มีใครรู้ แต่ที่รู้คือภายใต้วิกฤติ (อาจ) มีโอกาส...

นายเวย์ ฟุก โหว Chief Investment Officer ของ ธนาคาร DBS สิงคโปร์ ตอบคำถามจากผู้สื่อข่าวของ "กรุงเทพธุรกิจ" ในงานแถลงข่าวประจำปีวันที่ 17 ก.ค. 2568 ว่า ตลาดหุ้นเอเชียรวมทั้งไทยมีความน่าสนใจในเชิงมูลค่า (Valuation)  และประเทศไทยซึ่งคล้ายกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียนที่มีจุดเด่นในหน้าหุ้นที่จ่ายปันผลสูงและมีความมั่นคงโดยเฉพาะอย่างยิ่งมั่นคงเมื่อเทียบกับอีกหลายประเทศในช่วงที่เกิดความปั่นป่วนทางการค้าเช่นนี้

สำหรับคำแนะนำในการจัดพอร์ตการลงทุน ก่อนหน้านี้มองว่าให้น้ำหนัก 65-70% กับสหรัฐ ตอนนี้สามารถโยกมาลงทุนในเอเชียได้ประมาณ 2-3% ขณะที่ยังมองบวกต่อหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐ ส่วนสินทรัพย์ทางเลือกหนึ่งที่ DBS แนะนำมาโดยตลอดคือทองคำโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันที่ธนาคารกลางทั่วโลกเริ่มสะสมสินทรัพย์ดังกล่าวเพิ่มขึ้นในฐานะทุนสำรองเพื่อลดการถือครองดอลลาร์สหรัฐ (DE dollarization)

 

‘หุ้นไทย’ ยังมีโอกาส (และน่าสนใจ) อยู่ไหมในมุมมองต่างชาติ ?

แบงก์ - โทรคมนาคม - อุปโภคฯ - การศึกษา ยังน่าสนใจ

สำหรับมุมมองที่เจาะจงที่ประเทศไทยมากขึ้น นายดีแลน เชียง  Senior Investment Strategist ของธนาคาร DBS กล่าวเสริมว่า ในประเทศไทยยังมีความน่าสนใจแม้ในปัจจุบันภาคการท่องเที่ยวซึ่งเป็นเครื่องจักรสำคัญของเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงจากหนี้ครัวเรือนที่สูงและนักท่องเที่ยวจีนลดลงเพราะปัญหาความปลอดภัย แต่ “ธนาคารพาณิชย์” ยังเป็นอีกหนึ่งภาคส่วนที่มีแนวโน้มเติบโตดีจากความสามารถในการจัดการที่เข้มแข็ง เสถียรภาพทางด้านการเงินของประเทศ ดังนั้นรายได้จากค่าธรรมเนียมมีแนวโน้มที่จะขยายตัวดีและสามารถรักษาอัตรากำไรได้ดี

มากไปกว่านั้น ยังมีอีกสามภาคส่วนที่น่าจับตามองคือโทรคมนาคมที่มีต้นทุนสูงแต่ยังมีฐานลูกค้ามั่นคง หน้าหุ้นอุปโภคบริโภคที่มีแบรนด์แข็งแกร่งและด้านการศึกษา เป็นต้น

'การเมือง-ภาษี' กดดันหุ้นไทยเหลือ 1,000 จุด

ขณะที่ นางสาวจันทร์เพ็ญ ศิริธนารัตนกุล กรรมการบริหารอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทยในระยะสั้นมองว่าถ้าไทยเจอภาษีศุลกากรที่ 36% ปีหน้าอาจได้เห็นเศรษฐกิจโตที่ระดับ 1% แต่ถ้าสามารถเจรจาจนได้ภาษีประมาณ 18-20% ก็จะทำให้จีดีพีปีนี้โตได้ที่ 1.8%

ส่วนมุมมองต่อตลาดหุ้นไทย เป้าหมายสิ้นปีให้ไว้ที่ 1,300 จุดถ้วนแต่หากมีปัจจัยความไม่แน่นอนทางด้านการเมืองและอัตราภาษีที่สูงกว่าเพื่อนบ้านที่ 36% ปลายปีดัชนีฯ อาจปรับฐานลงไปอยู่ที่ระดับ 1,000 – 1,100 จุด ซึ่งถือเป็นฉากทัศน์ที่แย่ที่สุด (Worse Case)

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นยังมีหุ้นที่ก่อนหน้านี้ราคาปรับตัวลงไปอย่างมากแต่โดยพื้นฐานแล้วยังสามารถทำกำไรได้ต่อเนื่องและไม่ได้รับผลกระทบจากนโยบายการค้ามากนัก เช่น หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า REITs กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (IFF) โทรคมนาคม และสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น (Consumer Stable)

“ช่วงที่ผ่านมาเห็นได้ชัดเจนว่านักลงทุนต่างชาติลดการลงทุนในหุ้นไทยลง2-3 ปีที่ผ่านมาขายสุทธิตลอด แต่เขาก็ไม่ได้ทิ้งประเทศไทย ยังมีลูกค้าส่งคำถามเข้ามาเยอะมากเกี่ยวกับการลงทุนหุ้นไทย” นางสาวจันทร์เพ็ญกล่าว

บาทไทยจ่อแข็งขึ้นต่อเนื่อง สิ้นปีเเตะ 32.8 บาทต่อดอลล์

สำหรับทิศทางอัตราแลกเปลี่ยน นายเทอเรนซ์ วู FX Strategist ของธนาคาร DBS กล่าวว่า ถึงแม้ว่าการส่งออกของประเทศไทยตลอดทั้งปีนี้จะผันผวนจากภาษีนำเข้าของทรัมป์ซึ่งอาจจะทำให้ช่วงครึ่งปีหลังส่งออกชะลอตัวได้ แต่ในภาพรวมยังมีโอกาสที่การส่งออกสินค้าและบริการมีมูลค่ามากกว่าการนำเข้าหรือ “เกินดุลบัญชีเดินสะพัด” ค่าเงินบาทจึงมีโอกาสแข็งค่าขึ้นมาได้เพราะเมื่อขายสินค้าจากต่างประเทศได้มากก็ต้องแลกเงินดอลลาร์ที่ได้รับมาเป็นเงินบาท โฟลว์ตรงนี้ก็จะทำให้เงินบาทแข็งค่าตามกลไก โดยกรอบค่าเงินบาทสิ้นปี 2025 มีแนวโน้มอยู่ที่ 32.8 บาทต่อดอลลาร์และปลายปีหน้าที่ 32 บาท

‘หุ้นไทย’ ยังมีโอกาส (และน่าสนใจ) อยู่ไหมในมุมมองต่างชาติ ?

ประกอบกับภาพรวมเศรษฐกิจที่ชะงักงัน การส่งออกครึ่งปีหลังที่มีแนวโน้มหดตัว การท่องเที่ยวที่เบาบาง ดังนั้นธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จึงอาจเข้าสู่ช่วงดอกเบี้ยขาลง เหมือนกับที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ ทั้งธนาคารอังกฤษ (ECB) และคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ก็จะต้องเข้าสู่เทรนด์นี้เช่นเดียวกัน ซึ่งก็จะกระทบค่าเงินบาทให้ผันผวนตลอดทั้งปี