ชงเว้นภาษีปันผลชั่วคราว บล.ทิสโก้ เปิด 3 ทางหนุนสภาพคล่องตลาดทุน

กูรูตลาดทุน เปิด 3 แนวทางหนุนสภาพคล่อง เว้นภาษีปันผลชั่วคราว-เพิ่มน้ำหนัก ประกันลงทุนหุ้นไทย -นำวงเงินซื้อขายหุ้นมาลดหย่อนภาษี ลุ้นไทยจบภาษีสหรัฐ 25% หรือต่ำกว่า
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์(บล.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยในงาน FETCO x ThaiBMA Investment Forum 2025 ว่า สำหรับแนวทางเสริมสภาพคล่องในตลาดหุ้นไทยที่ยังเผชิญปัจจัยท้าทายทั้งภายนอก และในประเทศ ควรมีการพิจารณาการให้สิทธิประโยชน์ให้มีเงินลงทุนอยู่ในตลาดหุ้นไทยเป็นเวลานาน จนมองว่าการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติมสำหรับหุ้นปันผล โดยการไม่เก็บภาษีเงินปันผลชั่วคราว หากผู้ลงทุนถือหุ้นเกินระยะเวลา 1 ปีขึ้นไป
"ตอนนี้ มีกลุ่มนักลงทุนมั่งคั่งจำนวนมากลงทุนในหุ้นปันผล และการลงทุนในหุ้นปันผลภาวะเช่นนี้ยังให้ผลตอบแทนเงินปันผล 6-7% ต่อปี และหุ้นไทยราคาน่าสนใจ รัฐจะมีมาตรการสนับสนุนอย่างไร ที่ไม่ใช่บริษัทจ่ายเงินปันผลแล้ว ขายหุ้นทิ้งกัน และทำให้คนนำเงินเข้ามาลงทุนหุ้นปันผล เพื่อดึงเม็ดเงินลงทุนกลุ่มนี้ไว้ในตลาดให้นานที่สุด"
รวมถึง การพิจารณาปรับลดน้ำหนักสัดส่วนเงินส่วนทุนสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทยของกองทุนใหญ่หรือประกันชีวิต ให้ลงเหลือราว 10-15% จากเดิมที่ 25% เนื่องจากปัจจุบันอยู่ในระดับใกล้เคียงกับการลงทุนในตลาดต่างประเทศ เพื่อจูงใจให้นักลงทุนเหล่านี้เอาเงินระยะยาวมาลงทุนในหุ้นไทยมากขึ้น หรือทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับ และส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) สามารถดูแลอย่างไรได้บ้าง และมาตรการใหม่ให้สิทธินำวงเงินซื้อขายหุ้นมาลดหย่อนภาษีได้ หรือ TISA ของตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นสิ่งที่ดีเช่นกัน
เนื่องจากต้องยอมรับว่า ที่ผ่านมา กองทุน ThaiESGX ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ยังไม่ประสบความสำเร็จ มีเงินเข้ามาสนับสนุนตลาดหุ้นไทยเพียง 20,000 ล้านบาท ซึ่งยังมีเงินค้างอยู่ในกองทุน LTF กว่า 1 แสนล้านบาท เพราะคนยังขาดความเชื่อมั่น และไม่คุ้มค่า ที่จะโยกออกมา และมูลค่าการซื้อรายวันยังน้อย ราว 20,000 ล้านบาท แม้ยังมีแรงขายของนักลงทุนต่างชาติอยู่แต่ไม่น่ากังวลแต่มาช่วยเสริมสภาพคล่องไม่ให้เหิดแห้งลง
"ตอนนี้แรงขายน่าจะน้อยลง โดยเฉพาะแรงขายของนักลงทุนต่างชาติรายวัน ไม่ควรไปกังวลแล้ว เพราะเป็นการซื้อเช้า และขายออกมาช่วงบ่าย โดยจากการเก็บข้อมูลในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา พบว่าสัดส่วนการถือครองหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นมาโดยตลอดเฉลี่ยประมาณ 30% ส่วนประเด็นการเมืองนั้น เชื่อว่าหากมีการผ่านงบประมาณปี 69 ออกมาก่อนได้ และมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาทในช่วงครึ่งปีหลัง แม้อะไรจะเกิดขึ้นกับการเมือง แต่คาดว่าจะมีผลกระทบไม่มากต่อตลาดหุ้น"
ทางด้านสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน หรือ IAA ประเมินตลาดหุ้นไทยช่วงสิ้นปีนี้มีโอกาสขึ้นไปแถวบริเวณ 1,200 จุดได้ ภายใต้สมมติฐานทิศทางที่มองไปถึงปีหน้าแล้ว พร้อมแนะนำเป็นโอกาสในการสะสมกลุ่มหุ้นปันผล จากสถิติในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา พบว่าหุ้นกลุ่มปันผลให้ผลตอบแทนที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่าตลาด และมีอัตราจ่ายเงินปันผลเฉลี่ยในระดับกว่า 4% ซึ่งถือว่าน่าสนใจมาก
ส่วน ดาวน์ไซด์ เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยไม่น่าจะต่ำไปกว่านี้มาก จากหลายปัจจัยที่เกิดขึ้น ยกเว้นกรณีสหรัฐ จะคงการเก็บภาษีกับไทยไว้ที่ระดับ 36% อาจมีผลกระทบกับทั่วโลก โดยเฉพาะไทยเนื่องจากเป็นประเทศที่เน้นการส่งออก แต่สุดท้ายเชื่อว่าดัชนีหุ้นไทยจะไม่หลุดระดับต่ำสุดเดิมที่ 1,060 จุด และอยู่ที่แนวรับ 1,100 จุด ได้
นอกจากนี้ มองว่า ตลาดหุ้นไทย และตลาดหุ้นทั่วโลกไม่ได้ตกใจเรื่องภาษีของสหรัฐมากนัก เพราะทุกคนคงเชื่อว่า ทรัมป์ คงไม่เลื่อนการเก็บภาษีในรอบ 1 ส.ค.68 นี้อีก และหากไทยโดนเรียกเก็บภาษีในอัตรา 25% มองว่าตลาดทุนน่าจะพอรับได้
“หากประเทศเวียดนามไม่ได้โดนเก็บภาษีในอัตรา 11% ตามที่ต้องการ ถือว่าห่างกันไม่มาก ยังพอสู้กันได้ สินค้าไม่ได้แข่งกันตรงนั้น ทำให้ดาวน์ไซด์ของตลาดหุ้นไม่น่าเปลี่ยนแปลง และลดลงต่ำไปไม่ได้มากกว่านี้อีก เพียงแต่จะขยับขึ้นได้มากแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับกำไรของ บจ.ซึ่งปัจจุบันกลุ่มนักวิเคราะห์คาดการณ์ปีนี้จะโตระดับ 10%”
สอดรับกับ ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวว่า ขณะเดียวกันด้วยแนวโน้มเศรษฐกิจข้างหน้ามีทิศทางชะลอตัวลง ดร.กอบศักดิ์ มองว่า มาตราการที่ตลาดทุนอยากให้รัฐบาลให้ความสำคัญ สำหรับมาตรการระยะสั้น มี 4 มาตรการ คือ 1. ออกมาตรการรักษา Momentum ของเศรษฐกิจ แต่เนิ่นๆ 2.การรักษาความเชื่อมั่น Investor Confidence อย่างเป็นระบบ 3.เตรียมการรับมือกับวิกฤติที่อาจจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะ เรื่องหุ้นกู้ที่เตรียมการด้านสภาพคล่อง 4. การรักษาความสงบทางการเมือง ข้อขัดแย้งให้อยู่ในกรอบต้องเป็นไปตามครรลอง หากมีปัญหามากกว่านี้คงจะรับไม่ไหว
ทางด้านมาตรการระยะยาว ที่ตลาดทุอยากให้รัฐให้ความสำคัญ คือ 1 ด้ายเสถียรภาพ สำหรับการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจครั้งสำคัญ ที่รออยู่ข้างหน้า The Great Disruption จากการเปลี่ยนแปลงทางด้านTechnology,Geopolitics,Economicและ Climate มองว่า ยังมี 5 สงครามที่รออยู่ ได้แก่ Digital Transformation & Tech Adoption, Regionalization and Globalization, Green Transition & Low Carbon Economy, Infrastructure of the Future และ New Cities and New Urbanization Cities
โดยสาเหตุที่ดัชนีตลาดหุ้นไทย ไม่ปรับตัวขึ้น เพราะกลุ่มอุตสาหกรรมในตลาดไม่เคยปรับเปลี่ยนมานานแล้ว ทำให้อุตสาหกรรมไทยไม่เติบโต เพราะอยู่ในกลุ่มเดิมๆมากว่า 30 ปี มองว่า ถึงเวลาที่ต้องปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่
”มองทุกความท้าทาย ยังมีโอกาสเต็มไปหมด ในครั้งนี้ก็เช่นกัน เพียงแต่ว่าเราจะเอาตัวเราอยู่ตรงนั้น หรือไม่ ถ้าเราเจรจาได้ระดับหนึ่งโอกาสก็เป็นของเราได้ รวมถึงหากเราเตรียมการของระบบเศรษฐกิจไทยให้มีโมเมนตัมที่ดี ทุกคนจะมองว่าเราไม่ให้ประเทศที่จะเข่าอ่อนต่อไป และจะสนใจเรามากขึ้น ซึ่งตลาดหุ้นไทย รับข่าวไปพอสมควรแล้ว“
ทางด้านการเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐ ส่วนตัวคาดว่า อัตราภาษีนำเข้า ที่ระดับ 25% เป็นระดับที่เหมาะสม เพราะที่ระดับ 20% มีโอกาสเป็นไปได้น้อยมาก และที่ระดับ 25%น่าจะเป็นสิ่งที่ดี เพื่อบางกลุ่มอุตสาหกรรม (5กลุ่ม) ที่ไม่สามารถยอมให้ได้จริงๆ ส่วนที่เหลือพร้อมเจรจาการค้ากัน และให้ไทยได้มีจุดยืนที่เหมาะสมอีก อาจต้องมีการแลกเปลี่ยนในอีกหลายเนื่อง
“ เชื่อว่า แนวทางเจรจาสหรัฐ คิดว่าไทยมีทางเลือกไม่มากนัก มี 3 ทางเลือก คือ 1 .ยอมรับสภาพที่ระดับ36%2.กลับไปเจรจาเพิ่มเพื่อให้ได้อัตราภาษีที่ 25% 3.เดินตามทางเวียดนาม ทำเต็มที่ให้ได้36% ซึ่งเราต้องเลือกว่าเราจะจบที่ตรงไหนเจรจาให้ได้คำตอบก่อน 1 ส.ค.เพื่อเตรียมแนวทางการรับมืออย่างเหมาะสม ระยะสั้นกลางและยาวต่อไป“
ขณะที่ การ Trade-offs ที่ต้องตัดสินใจในการเลือกเป้าหมายอัตรา Tariffs คือ ผลต่อภาคเศรษฐกิจต่างๆ ส่งออก อุตสาหกรรม เกษตร เพื่อให้มีทางออกที่ดี เช่น เก็บเงินที่ได้จากการส่งออก เพื่อมาชดเชย ให้กับภาคเกษตร ในระดับ 50,000 -100,000 ล้านบาท เพราะหากต้องทำทุกภาคอุตสาหกรรม เห็นว่ายากจะดำเนินการได้
พร้อมทั้ง ต้องประเมินผลกระทบระยะสั้น และระยะยาว ซึ่งหากยอมให้โดนเก็บภาษีอัตราที่สูงเกินไปจะยอมรับได้หรือไม่ และระยะยาวจะไม่มีกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ๆ ได้
อีกทั้งต้องวางแนวทางการลดผลกระทบที่มีประสิทธิภาพที่สุด หรือกลุ่มอุตสาหกรรมไหนเหมาะสมได้รับการเยียวยา และให้สามารถเปลี่ยนผ่านไปได้ เพราะมองว่าทรัมป์ไม่จบแค่นี้ ยังมีภาษีอื่นๆ ที่จะออกมาเพิ่ม Tariffs เช่น Global Level , Country Level,Industry Level และ Factory Level
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







