CPAXT คาดงบไตรมาส 2/68 กำไรดีขึ้น การบริโภคฟื้นตัว ภาษีทรัมป์ไม่กระทบ

บล.ลิเบอเรเตอร์ คาดการณ์ว่ากำไรในไตรมาส 2/68 ของ CPAXT จะเติบโตเมื่อเทียบกับปีก่อน (y-y) โดยมีปัจจัยหนุนจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้นและการควบคุมค่าใช้จ่าย แม้ว่าอาจจะลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (q-q) ตามฤดูกาล และถูกมองว่าน่าสนใจมากขึ้นเนื่องจากเป็นหุ้นกลุ่มบริโภคในประเทศ จึงไม่ได้รับผลกระทบจากความกังวลเรื่องปัญหาภาษีของสหรัฐฯ
KEY
POINTS
- นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ากำไรในไตรมาส 2/68 ของ CPAXT จะเติบโตเมื่อเทียบกับปีก่อน (y-y) โดยมีปัจจัยหนุนจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้นและการควบคุมค่าใช้จ่าย แม้ว่าอาจจะลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (q-q) ตามฤดูกาล
- ยอดขายกลุ่มอาหารยังคงเติบโตได้ดีในระดับ 8-9% และกลุ่ม Horeca เติบโต 2-3% ขณะที่โลตัสในมาเลเซียได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล สะท้อนการฟื้นตัวของการบริโภคในส่วนสำคัญ
- หุ้น CPAXT ถูกมองว่าน่าสนใจมากขึ้นเนื่องจากเป็นหุ้นกลุ่มบริโภคในประเทศ จึงไม่ได้รับผลกระทบจากความกังวลเรื่องปัญหาภาษีของสหรัฐฯ
- แนวโน้มการดำเนินงานทั้งปียังคงเป็นบวก โดยคาดว่าจะเติบโตจาก Synergy ที่จะรับรู้มากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น
- ราคาหุ้นที่ปรับตัวลงก่อนหน้านี้ถูกมองว่าเป็นโอกาส ทำให้หุ้นมีความน่าสนใจมากขึ้น โดยนักวิเคราะห์แนะนำ "ทยอยสะสม" สำหรับการลงทุนระยะกลาง-ยาว พร้อมให้ราคาเป้าหมายที่ 26.56 บาท
นารี อภิเศวตกานต์ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บล.ลิเบอเรเตอร์ ระบุว่า หุ้น CPAXT แนวโน้มไตรมาส 2/68 กำไรโต y-y แต่ลดลง q-q ตามปัจจัยฤดูกาลเราคาดว่าจะโต y-y จากแนวโน้มอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น และการควบคุมค่าใช้จ่าย แม้ว่า SSSG อาจมีผลกระทบจากกำลังซื้อที่ลดลง โดยแยกการดำเนินงานตามกลุ่มธุรกิจค้าส่ง 56% ของยอดขาย คาด SSSG จะทรงตัว y-y เนื่องจากได้รับผลจากยอดขายกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ปีนี้อากาศไม่ร้อน และสั้นกว่าปีก่อนหน้า แต่หากสินค้ากลุ่มที่เกี่ยวข้องกับอาหารนั้นยังโตระดับ 8-9% จากปริมาณขายเพิ่มขึ้นในกลุ่มเนื้อสัตว์ อาหารทะเล ข้าว เป็นต้น
ขณะที่กลุ่ม Horeca, consumer พบว่า ยังโตได้ระดับ 2-3% โดยเฉพาะในกรุงเทพ ภาคใต้ และอีสาน ตามรูปแบบ ECO Plus จัดสรรพื้นที่สำหรับการจำหน่ายสินค้าประเภทอาหารสดเพิ่มขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าผู้ประกอบการที่ตั้งอยู่ในทำเลเมืองในกรุงเทพ และ Food Services เน้นจำหน่ายอาหารสดและอาหารแห้ง ขณะที่ในส่วนต่างประเทศ นั้นยอดขายโต 2 หลักในทุกประเทศที่ตั้งอยู่ แต่โดนกระทบจากเงินบาทแข็งค่าทำให้โตลดลง
สำหรับ แนวโน้มอัตรากำไรขั้นต้น คาดจะดีขึ้นจาก synergy ที่ทำส่งผลให้ต้นทุนลดลง ซึ่งธุรกิจค้าปลีก สัดส่วน 44% คาด SSSG ไตรมาส 2/68 ไม่โต โดยในไทยแม้เดือน พ.ค. และ มิ.ย. ดีขึ้น แต่ไม่สามารถชดเชยการหดตัวแรงในเดือน เม.ย.ได้ โดยการเพิ่มขึ้นของยอดขายจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันคือกลุ่มอาหารยังโตได้ดี เพราะได้รับผลกระทบจากช่วงเดือน เม.ย. ที่หดตัวมาก
ส่วนโลตัสมาเลเซียนั้น ยังโตได้ดีจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลด้วยการให้เงิน 100-200 ริงกิต/เดือน ตั้งแต่เดือน เม.ย. –ธ.ค.2568 เพื่อใช้จ่ายสินค้ากลุ่ม อาหารสดและอาหารแห้ง
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มอัตรากำไรขั้นต้นคาดหดตัว y-y จากส่วนผสมของการขายที่เปลี่ยนไป รวมถึงการแข่งขันด้านราคาที่ไม่ใช่ของสดมากขึ้น ในส่วนค่าใช้จ่ายขายและบริหารนั้น คาดว่าจะโตในอัตราที่น้อยกว่ายอดขายที่เพิ่มขึ้นจากผลของ synergy รวมถึงดอกเบี้ยจ่ายคาดจะใกล้เคียง q-q และอัตราภาษีจ่ายคาดจะลดลง y-y ทำให้ภาพรวมกำไรจะเพิ่ม y-y แต่ลดลง q-q
“เราคาดแนวโน้มกำไรไตรมาส 2/68 ยังโตได้ y-y แม้ SSSG อาจทรงตัว ขณะที่ยอดขายกลุ่ม Horeca ยังโตได้ทุกภูมิภาคแม้จำนวนนักท่องเที่ยวจะลดลงก็ตาม เรายังมีมุมมองบวกต่อการดำเนินงานปีนี้ ว่ายังเติบโตได้ y-y จาก synergy ที่จะทยอยรับรู้มากขึ้นในครึ่งปีหลังจากการควบคุมค่าใช้จ่ายและการลดต้นทุน หุ้นกลุ่มบริโภคในประเทศเริ่มกลับมาน่าสนใจมากขึ้นจากไม่ได้รับผลกระทบปัญหาภาษีสหรัฐ อีกทั้งราคาหุ้นปรับลงก่อนหน้าจากความกังวลเรื่องการให้ความช่วยเหลือทางการเงินกับแมกโนเลียซึ่ง CPAXT ยืนยันว่าไม่เคยให้ความช่วยเหลือทางการเงินในบริษัทดังกล่าว ราคาหุ้นที่ปรับลง จึงเริ่มน่าสนใจมากขึ้น นักลงทุนระยะกลาง-ยาว ทยอยสะสมได้ ราคาเป้าหมาย 26.56 บาท”






