FETCO เปิด 3 ทางเลือกสู้เวียดนาม–มาเลเซีย หลังโดนภาษีทรัมป์ 36% บีบไทยเดินเกมใหม่

FETCO เสนอ 3 ทางเลือกให้ไทยพิจารณาเพื่อรับมือกับนโยบายภาษีของสหรัฐฯ หลังจากไทยถูกกำหนดอัตราภาษีไว้ที่ 36% ผลกระทบหากไทยยังคงอัตราภาษีที่ 36% คือต้นทุนการส่งออกไปสหรัฐฯ จะสูงขึ้น และเสี่ยงต่อการสูญเสียการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ให้กับเวียดนาม ซึ่งอาจกระทบต่ออนาคตเศรษฐกิจของประเทศ
KEY
POINTS
- FETCO เสนอ 3 ทางเลือกให้ไทยพิจารณาเพื่อรับมือกับนโยบายภาษีของสหรัฐฯ หลังจากไทยถูกกำหนดอัตราภาษีไว้ที่ 36%
- ทางเลือกที่ 1 คือการยอมรับอัตราภาษีที่ 36% ซึ่งจะทำให้ไทยเสียเปรียบมาเลเซีย 11% และเวียดนาม 16% (เวียดนามอยู่ที่ 20%)
- ทางเลือกที่ 2 คือการกลับไปเจรจาต่อรองกับสหรัฐฯ เพื่อให้ได้อัตราภาษีลงมาอยู่ที่ประมาณ 25% ซึ่งภาคเอกชนมองว่าเป็นระดับที่พอรับได้
- ทางเลือกที่ 3 คือการพยายามเจรจาอย่างเต็มที่เพื่อให้ได้อัตราภาษีที่ 20% เท่ากับเวียดนาม เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันและดึงดูดการลงทุน
- ผลกระทบหากไทยยังคงอัตราภาษีที่ 36% คือต้นทุนการส่งออกไปสหรัฐฯ จะสูงขึ้น และเสี่ยงต่อการสูญเสียการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ให้กับเวียดนาม ซึ่งอาจกระทบต่ออนาคตเศรษฐกิจของประเทศ
แม้ไทยได้ยื่นข้อเสนอไปยังสหรัฐฯ แล้ว แต่ยังไม่สามารถเจรจาลดภาษีลงได้จากระดับ 36% ขณะที่ประเทศในอาเซียนหลายประเทศได้สิทธิพิเศษ ทำให้ไทยกำลังเผชิญแรงกดดันทั้งจากภาคการส่งออกที่ต้นทุนอาจะพุ่งสูง และภาคการลงทุนที่เสี่ยงสูญเสียฐานการผลิตในอนาคตให้กับเวียดนาม
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยว่า สหรัฐฯ ได้ออกจดหมายแจ้งนโยบายภาษีประมาณ 14-15 ฉบับ โดยเริ่มจากเกาหลีใต้และญี่ปุ่น และตามมาด้วยอีกหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยอัตราภาษียังคงเท่าเดิม ซึ่งหมายความว่า เราเสียเปรียบมาเลเซียอยู่ที่ 11% ซี่งมีนัยยะสำคัญ และที่สำคัญคือเสียเปรียบเวียดนามถึง 16% ซึ่งไทย อยู่ที่ 36% เทียบกับเวียดนามที่ 20% ซี่งมีนัยยะสำคัญ และเป็นสิ่งที่น่ากังวลใจ ขณะที่บางประเทศได้ลดอัตราภาษีลงจากเดิม เช่น กัมพูชาจากเดิม 49% เหลือ 36% เท่าไทย ลาวจากเดิม 48% เหลือ 40% และเมียนมาร์ จากเดิม 44% เหลือ 40%
ทั้งนี้มองว่า อัตราภาษีในรอบนี้จะไม่เหมือนกับรอบที่แล้วทำให้แรงกดดันต่อประธานาธิบดีโดนัมล ทรัมป์ที่จะเปลี่ยนใจมีน้อยมาก เนื่องจากที่ผ่านมาตลาดหุ้นโลกได้รับข่าวดังกล่าวมาตั้งแต่ต้นปี ทำให้มีการรับรู้สถานการณ์มาพอสมควร จากที่ก่อนหน้านี้ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลงไปกว่า 20% ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ จึงเป็นสัญญาณหนึ่งว่า ตลาดหุ้นสหรัฐรับเรื่องนี้ไม่ค่อยได้ แต่ในปัจจุบัน ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีเสถียรภาพมากขึ้น ทำ All Time High บวกกับสหรัฐมีมาตรการอื่น ๆ เข้ามาประกอบ โดยเฉพาะมาตรการ OBB หรือ One Big Beautiful Bill เพิ่งประกาศใช้ เพื่อลดภาระภาษีและให้สิทธิประโยชน์แก่ประชาชนอเมริกัน จะช่วยบรรเทาผลกระทบจากราคาสินค้าที่สูงขึ้น ทำให้ผู้บริโภคไม่กดดันรัฐบาล ซึ่งผู้ประกอบการสหรัฐฯ ได้รับเวลา 90 วันในการสต็อกสินค้าและวัตถุดิบ ทำให้พวกเขาปรับตัวได้ทัน และจะไม่มีใครไปกดดันประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ ให้ยกเลิกนโยบาย
สำหรับทางเลือกของไทยแบ่งออกเป็น 3 ทางเลือก 1.ยอมรับสภาพที่ 36% 2.กลับไปเจรจาเพิ่มให้ได้ที่ประมาณ 25% แต่ถ้าจะให้ได้ที่ 10% มองว่าคงยาก และ 3. เดินตามทางเวียดนาม ทำเต็มที่ให้ได้ 20%
ทั้งนี้จดหมายที่ออกมาเป็นจดหมายที่เตือน และการที่ไปเจรจายังไม่เป็นที่พอใจ และไม่มีการรอว่า ไทยจะมีการส่งข้อเสนอกลับไปอย่างไรอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นจึงเป็นคำถามว่า หลังจากนี้ไทยจะสามารถให้สหรัฐเพิ่มตามที่ต้องการได้หรือไม่ และต้องกลับมาคิดทบทวนว่าเราจะเจราจาเพิ่มขึ้นได้มากแค่ไหน และอยากได้ในอัตราภาษีที่เท่าไร
อย่างไรก็ตามหากไม่มีการเปลี่ยแปลงภาษีจบที่ 36% จะมีผลกระทบต่อภาคส่งออกสินค้าไทยที่ส่งไปสหรัฐฯ จะแพงขึ้น 36% ทำให้ผู้ส่งออกต้องปรับตัวอย่างหนักและแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น ขณะที่ SME ในประเทศจะประสบปัญหาเช่นกัน ซึ่งต้องรอดูจีนว่าจะจบภาษีที่เท่าไร หากจีนโดนภาษี 54% คงยากที่จะส่งสินค้าไปสหรัฐ ดังนั้นจึงต้องหาตลาดอื่นแทนสหรัฐฯ
นอกจากนี้ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) สิ่งที่น่ากังวลที่สุด บริษัทต่างชาติที่วางแผนจะมาลงทุนในไทย อาจต้องคิดหนักและหันไปลงทุนในเวียดนามแทน เนื่องจากเวียดนามได้รับอัตราภาษีที่ชัดเจนที่ 20% หากเกิดสถานการณ์นี้ จะส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่ออนาคตเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะการเปลี่ยนผ่านภาคอุตสาหกรรมให้เป็นฐานการผลิต
"แม้ประเทศไทยจะมีการเจรจาแล้ว แต่ตัวเลข 36% ก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งหมายความว่าข้อเสนอของไทยยังไม่เป็นที่พอใจ ภาคเอกชนไทยมองว่าอัตราภาษีที่แตกต่างกันไม่มากนักที่ 5% หรือไทยได้ภาษีที่ 25% ยังพอรับได้และบริหารจัดการได้ด้วยการลดกำไรหรือต้นทุนแต่ถ้าความต่างเพิ่มขึ้นเป็น 10% หรือ 16% จะสร้างภาระหนักมาก"
สำหรับมาตรการของตลาดทุนที่อยากให้ความสำคัญ 1.รักษาโมเมนตัมของเศรษฐกิจ 2.รักษาความเชื่อมั่น Investor Confidence และ 3.ความสงบทางการเมือง ขัดแย้งมีได้แต่ขอให้อยู่ในกรอบ ไม่รุนแรงและลุกลาม







