ภาษีทรัมป์ป่วน‘หุ้นไทย’ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ย้ำแผนสกัดดัชนีดิ่ง

ภาษีทรัมป์ป่วน‘หุ้นไทย’ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ย้ำแผนสกัดดัชนีดิ่ง

ตลท. ติดตามสถานการณ์ “ภาษีทรัมป์” ใกล้ชิด ชี้สหรัฐเลื่อนเกณฑ์เก็บภาษีเป็น 1 ส.ค. นี้ ถือเป็นข่าวดี ย้ำมีมาตรการรับมือ “หุ้นไทย” ผันผวน

ในช่วงของการเจรจา “ภาษีทรัมป์” ระหว่างสหรัฐกับไทย ที่ยังคงไม่มีความชัดเจน และล่าสุดอาจจะมีการเลื่อนบังคับใช้ อัตราภาษีสูงออกไปเป็นวันที่ 1 ส.ค. 2568 แทนวันที่ 9 ก.ค. นี้ และเมื่อทรัมป์ยังมีการประกาศนโยบายออกมาเรื่อยๆ สร้างความผันผวนให้กับตลาดหุ้นอย่างต่อเนื่อง 

สอดคล้องความเคลื่อนไหว “ดัชนีหุ้นไทย” วานนี้ (7 ก.ค.2568) ดัชนีผันผวนตลอดทั้งวัน โดยระหว่างวันดัชนีปรับตัวลงไป “ต่ำสุด” 12.48 จุด ก่อนจะมาปิดตลาดที่ 1,123 จุด เพิ่มขึ้น 3.06 จุด หรือ 0.27% ด้วยมูลค่าซื้อขาย (วอลุ่ม) 31,447.59 ล้านบาท โดยพบว่า “นักลงทุนต่างชาติ” ซื้อสุทธิ 573.67 ล้านบาท 

สะท้อนภาพในช่วงเช้าตลาดหุ้นไทยมีความกังวลว่าทีมไทยแลนด์ไม่สามารถเจรจาข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐได้ ก่อนภาคบ่ายตลาดจะคลายความกังวล หลังมีการเปิดเผยข้อมูลล่าสุดของไทยที่จะยอมนำเข้าสินค้าหลายรายการเพิ่มขึ้น แม้จะยังไม่ทราบรายละเอียดชัดเจน แต่ถือเป็นสัญญาณที่ดี 

ตลท.มีแผนรับมือ “หุ้นไทย” ผันผวน

นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า กรณี “โดนัลด์ทรัมป์” เลื่อนดีเดย์ภาษีตอบโต้กับประเทศไทย ถือว่าเป็นเรื่องดี เนื่องจากรัฐบาลจะมีเวลาในการเจรจากับสหรัฐมากขึ้น หลัังจากบางประเทศบรรลุข้อตกลงไปก่อนแล้ว เช่น สหราชอาณาจักร (อังกฤษ) จีน และ เวียดนาม แต่อย่างไรก็ตาม เรายังต้องรอยืนยันรายละเอียดข้อเท็จจริงจากทางการก่อน  เพราะหลังจากนี้ต้องรอดูว่าสหรัฐ จะคิดเห็นอย่างไรกับข้อสรุปชุดใหม่ที่ทางการไทยส่งไป  

“ภาษีการค้าของทรัมป์จริงๆ แล้วมีผลต่อเศรษฐกิจไทยอย่างแน่นอน และเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งด้วยแล้ว หากเก็บภาษีเราสูงกว่า เราก็จะเหนื่อย บางอุตสาหกรรมจะลำบาก แต่หากเก็บเราต่ำกว่า ถือเป็นข่าวดี”

อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าหลังจากนี้ ตลท. มีมาตรการกำกับดูแลตลาดหุ้นไทย เพื่อรับมือจากความไม่แน่นอนจากเกณฑ์ภาษีของทรัมป์ และสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว 

สะท้อนผ่าน ตลาดหุ้นไทยในเดือนมิ.ย. 2568 ที่ผ่านมา มีหลายปัจจัยทั้งบวกและลบเกิดขึ้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ สามารถรองรับความผันผวนและผ่านพ้นไปได้อย่างแข็งแกร่ง  

เตือนอย่าเพิ่งตื่นข่าวเก็บภาษีเพิ่ม 10% กลุ่ม BRIC

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการหัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลท. กล่าวว่ากรณีทรัมป์ ได้ประกาศแผนการที่จะ เรียกเก็บภาษีเพิ่มเติม 10% จากประเทศใดก็ตามที่สนับสนุน “นโยบายต่อต้านอเมริกาของกลุ่ม BRICS” ซึ่งไทยได้เข้าร่วมเป็นประเทศหุ้นส่วนของกลุ่ม BRICS เมื่อเดือนธ.ค. 2567 ที่ผ่านมา มองว่ายังไม่อยากให้นักลงทุนตื่นตระหนกโดยให้รอดูความชัดเจนเรื่องรายละเอียดอีกครั้่ง ข้อมูลในอดีตชี้ให้เห็นว่า แม้จะเกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์หรือการประกาศสงคราม ตลาดหุ้นในประเทศพัฒนาแล้ว มักเผชิญกับความผันผวนเพียงระยะสั้น ก่อนจะฟื้นตัวและกลับมาให้ผลตอบแทนในทิศทางบวกได้ภายในเวลาไม่นาน

ตลาดหุ้นไทยได้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในลักษณะเดียวกันตลอดเดือนที่ผ่านมา ซึ่งนักวิเคราะห์หลายสำนักแนะนำว่าการรักษาวินัยการลงทุนและเดินหน้าตามกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง หรือ “Stay Invest” จึงเป็นแนวทางสำคัญที่ช่วยให้ผู้ลงทุนไม่พลาดโอกาสสำคัญ หากดัชนีตลาดสามารถพลิกกลับขึ้นได้อย่างรวดเร็วและสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจในระยะถัดไป

เนื่องจากเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ขยายตัวดีกว่าที่ประเมินไว้จากภาคการผลิตและการเร่งส่งออกสินค้า ส่งผลให้การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

ขณะที่หลังจากวันสุดท้ายที่มีการเปิดขายกองทุนรวม Thai ESGX มี Fund Flow ของผู้ลงทุนเข้ามาอยู่ในกรอบกว่า 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่ช่วยพยุงหุ้นไทยในช่วงความไม่แน่นอนค่อนข้างสูง อีกทั้ง ตลาดหลักทรัพย์ฯ วางแผนสนับสนุนบริษัทจดทะเบียนในหลายมิติผ่านโครงการ “JUMP+” เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นในตลาดทุนไทย

ภาวะตลาดหุ้นไทยเดือนมิ.ย.

ณ 30 มิ.ย. 68 SET Index ปิดที่ 1,089.56 จุด ปรับลดลง 5.2% จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นการปรับลดลงมากกว่าตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ในภูมิภาค ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นเดือนมิ.ย.2568 ปรับลดลง 22.2% มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมของ SET และ mai อยู่ที่ 39,663 ล้านบาท หรือลดลง 10.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ในช่วง 6 เดือนแรกปี 68 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมอยู่ที่ 41,856 ล้านบาท ลดลง 7.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

เดือนมิ.ย. 68 มีบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายใน mai 1 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. นูทริชั่น โปรเฟส (NUT)Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นมิ.ย.68 อยู่ที่ระดับ 11.9 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 12.4 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 14.4 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 14.3 เท่า

โดยอัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นมิ.ย.2568 อยู่ที่ระดับ 4.51% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.30%

ภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) เดือนมิ.ย. 2568

ณ 30 มิ.ย. 68 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 442,877 สัญญา เพิ่มขึ้น 24.1% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการเพิ่มขึ้นของ Single Stock Futures และ SET50 Index Futures โดยตลอดปี 68 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 438,459 สัญญา ลดลง 9.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการลดลงของ Single Stock Futures และ Gold Online Futures

ยันมาตรการต่างๆ ไม่เอื้อนักลงทุนรายใดรายหนึ่ง         

นายรองรักษ์ พนาปวุฒิกุล รองผู้จัดการหัวหน้าสายงานกฎหมายและ บริหารกิจกรรมเพื่อสังคม ตลท. ชี้แจ้งว่า ทางตลท.ยืนยันว่า การดำเนินมาตรการต่างๆ ไม่ได้เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับนักลงทุนรายใดรายหนึ่ง ซึ่งเรื่องการบังคับขายหุ้น (Forced Sell) เป็นหน้าที่ของโบรกเกอร์ ที่จะต้องดำเนินการบริหารความเสี่ยงกับลูกค้าเมื่อเข้าหลักเกณฑ์ ทั้งการเรียกเงินวางหลักประกัน (Margin) หรือการ Forced sell โดยไม่ได้เกี่ยวข้องกับตลาดหลักทรัพย์         

“หน้าที่ของตลาดหลักทรัพย์เป็นการตรวจสอบภายหลังจากเกิดเหตุการณ์ไปแล้ว ถ้าโบรกฯ ไหนทำตามกติการที่เรากำหนด เช่น หลักประกันลดลงไปต่ำถึงระดับ Call margin เราก็จะลงโทษสมาชิก หรือเมื่อหลักประกันลดต่ำถึงระดับที่ต้อง Forced sell แล้วโบรกไม่ยอม Forced sell เราก็จะลงโทษสมาชิก ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ตลาดหลักทรัพย์ Post audit และต้องติดตามดูแลกับสมาชิก ส่วนหน้าที่บริหารความเสี่ยงทั้ง Call margin และ Forced sell เป็นหน้าที่ของโบรกฯ ที่ต้องดูแลตัวเอง”