การเมืองกดดัชนีความเชื่อมั่นวูบสู่โหมดซบเซา หวั่นหุ้นไทยเสี่ยงหลุด 1,000 จุด รอเฟด-รัฐอัดมาตรการกระตุ้น

FETCO เผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน 3 เดือนข้างหน้าอยู่ในภาวะ "ซบเซา" โดยมีปัจจัยการเมืองในประเทศเป็นสิ่งที่นักลงทุนกังวลมากที่สุด ขณะที่ นักวิเคราะห์ประเมินว่าดัชนี SET มีโอกาสปรับตัวลดลงหลุด 1,000 จุด ไปถึง 980 จุด จากแรงกดดันต่อเนื่องและความไม่แน่นอนที่สูง
KEY
POINTS
- ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน 3 เดือนข้างหน้าอยู่ในภาวะ "ซบเซา" โดยมีปัจจัยการเมืองในประเทศเป็นสิ่งที่นักลงทุนกังวลมากที่สุด
- นักวิเคราะห์ประเมินว่าดัชนี SET มีโอกาสปรับตัวลดลงหลุด 1,000 จุด ไปถึง 980 จุด จากแรงกดดันต่อเนื่องและความไม่แน่นอนที่สูง
- ความเชื่อมั่นนักลงทุนลดลงทุกกลุ่ม ทั้งนักลงทุนบุคคล, บัญชีบริษัทหลักทรัพย์, สถาบันในประเทศ และนักลงทุนต่างชาติ
- ปัจจัยที่นักลงทุนคาดหวังว่าจะช่วยหนุนความเชื่อมั่นคือการคงอัตราดอกเบี้ยของ FED และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ
จากการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนของสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ล่าสุดดัชนีอยู่ในภาวะซบเซาในอีก 3 เดือนข้างหน้านี้ ขณะที่อุตสาหกรรมที่พอจะไปได้และน่าลงทุน คือกลุ่มธนาคาร แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่หลายคนมีความกังวลใจมากที่สุด คือเรื่องสถานการณ์การเมืองในประเทศที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ รวมไปถึงบางอุตสาหกรรมอย่างยานยนต์ไทยที่ยังมีความกังวลใจอยู่เช่นกัน ขณะที่นักวิเคราะห์มองว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันต่อเนื่อง กรอบดัชนี SET มีโอกาสหลุด 1,000 จุด ลงไปได้ถึง 980
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยว่า สถานการณ์ความเชื่อมั่นของนักลงทุนรายกลุ่มลดลงในทุกกลุ่มในช่วงที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า อาทิ ความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนบุคคล ปรับลด 14.2% อยู่ที่ระดับ 50.70 กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับลด 61.9% อยู่ที่ระดับ 28.57 กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับลด 42.1% อยู่ที่ระดับ 63.64 และกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศปรับลด 55.6% อยู่ที่ระดับ 66.67
อย่างไรก็ตาม ในเดือนมิ.ย. 2568 ตลาดทุนไทยเผชิญความผันผวนอย่างหนักจากทั้งประเด็นความขัดแย้งระหว่างประเทศอิหร่านและอิสราเอล ความขัดแย้งชายแดนระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา รวมถึงสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศซึ่งส่งผลต่อความกังวลของนักลงทุนต่อเสถียรภาพของรัฐบาล ในขณะที่ผลการประชุม FED มีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 4.25% -4.50% และ กนง. มีมติคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.75% ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดย SET Index ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 2568 ปิดที่ 1,089.56 จุด ปรับตัวลดลง 5.19% จากเดือนก่อนหน้า ปริมาณซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในเดือนมิ.ย. 2568 อยู่ที่ 39,663 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 7,941 ล้านบาท ตั้งแต่ต้นปี 2568 นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวม 78,690 ล้านบาท
ขณะที่ผลสำรวจที่มีอิทธิพลต่อความเชื่อมั่นนักลงทุนและคาดหวัง จากการคงอัตราดอกเบี้ยของเฟด และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้บรรยากาศและความเชื่อมั่นดีขึ้น รวมถึงการไหลเข้าของเงินทุนต่าง ๆ แต่ทว่าสิ่งที่ทุกคนกังวลใจเป็นอย่างมากที่มีความเห็นตรงกันในเรื่องความกังวลเกี่ยวกับการเมืองภายในประเทศ ซึ่งปัญหานี้เริ่มลุกลามมาตั้งแต่ปลายเดือนที่แล้ว และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ หรือ Geopolitics และความกังวลเรื่อง เศรษฐกิจถดถอย ที่เริ่มมีการพูดถึงมากขึ้นเรื่อยๆ
สำหรับภาพรวมอุตสาหกรรมที่น่าสนใจในขณะนี้คือ กลุ่มธนาคาร โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างชาติที่ยังคงชื่นชอบกลุ่มนี้ กำไรสุทธิของภาคธนาคารในไตรมาสที่ 1 อยู่ที่ประมาณ 67,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.95% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้กลุ่มธนาคารยังคงอยู่ในความสนใจ และยังคงเป็นทางเลือกที่ดีในการลงทุน ส่วนกลุ่มสุขภาพเป็นกลุ่มที่นักลงทุนรายบุคคลบางรายยังคงชื่นชอบ และกลุ่มพลังงานเป็นที่ชื่นชอบของนักลงทุนสถาบัน
ขณะที่กลุ่ม อุตสาหกรรมยานยนต์ เป็นกลุ่มที่น่ากังวล และนักลงทุนไม่ได้มองว่าเป็นกลุ่มที่น่าดึงดูดใจน้อยที่สุด กลุ่มยานยนต์กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ ส่วนกลุ่มท่องเที่ยว ซึ่งเคยเป็นกลุ่มที่มาแรงเมื่อปีที่แล้วจนถึงต้นปีนี้ ปัจจุบันกลับกลายเป็นกลุ่มที่ไม่น่าสนใจ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และ กลุ่มแฟชั่น ก็ถูกตั้งคำถามถึงความน่าสนใจในการลงทุนในขณะนี้
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยเมื่อเทียบกับตลาดโลก เป็นสินทรัพย์หลักที่ตกหนักที่สุดในปีนี้ โดยลดลงถึง 22.2% และยังคงลดลง 5% ในเดือนล่าสุด ซึ่งน่ากังวล หากนับย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี ดัชนีลดลงจาก 1,400 เหลือประมาณ 1,100 จุด นี่ถือเป็นสัญญาณเตือนภัยที่สำคัญ เนื่องจากสินทรัพย์หลายตัวในต่างประเทศยังคงทำได้ดี เช่น เกาหลีใต้ที่โตเกือบ 20% แม้มีปัญหาภายใน ยุโรปที่เยอรมันโต 20% ฮ่องกงที่โต 20% และเวียดนามที่ยังคงเติบโตใกล้ 10%
นอกจากนี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิเกือบ 80,000 ล้านบาทในช่วงครึ่งปีแรกนี้ ซึ่งปีนี้จะเป็นปีที่ 3 ติดต่อกันที่เงินทุนต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้นไทยอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยปีที่แล้วขาย 150,000 ล้านบาท และปีก่อนหน้า 200,000 ล้านบาท ขณะที่ตลาดพันธบัตร แม้ตั้งแต่ต้นปีจะยังมีการซื้อสุทธิประมาณ 30,000 ล้านบาท แต่ตลาดพันธบัตรโดยรวมก็ติดลบในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และล่าสุดตลาดพันธบัตรไทยเริ่มมียอดขายสุทธิเช่นกัน เนื่องจากสถานการณ์ในสหรัฐฯ เริ่มนิ่ง
สำหรับปัจจัยต่างประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ ผลการเจรจาข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้า สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ซึ่งส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันและอาจขยายวงผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก ในส่วนของปัจจัยในประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ ความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐ เสถียรภาพของรัฐบาลที่เปราะบางหลังศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องไว้พิจารณาและมีคำสั่งให้นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่เมื่อวันที่ 1 ก.ค.2568 ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจที่สำคัญ และส่งผลกระทบต่อการวางแผนระยะยาวในการลงทุนของภาคเอกชน รวมถึงแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี จากการส่งออกสินค้าที่ลดลง และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ
นายพิริยพล คงวาณิช ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์พื้นฐานสายงานวิจัย บล.บัวหลวง ให้สัมภาษณ์กับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยจะยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันต่อเนื่อง จนกว่าจะมีความชัดเจนจากการเจรจาทางการค้า อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความชัดเจนออกมาแล้ว แนวโน้มที่แท้จริงก็อาจจะยังไม่ดีนัก ผลกระทบจากภาษีนำเข้าและการเจรจาการค้า มีการคาดอัตราภาษีที่ไทยอาจถูกเรียกเก็บนั้นค่อนข้างไปในทางที่แย่เมื่อเปรียบเทียบกับเวียดนามที่ยอมรับข้อเสนอเกือบทั้งหมด เช่น ยอมนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ ด้วยอัตราภาษี 0%
ดังนั้น หากไทยไม่ยอมรับข้อเสนอเท่าเวียดนาม การคาดหวังให้อัตราภาษีลดลงเหลือ 18% อาจเป็นเรื่องยาก ในช่วงเริ่มต้นนี้ ทั้งนี้ ยังมีโอกาสที่การเจรจาจะสำเร็จได้ เนื่องจากสหรัฐฯ เปิดโอกาสให้เจรจาจนถึงช่วงต้นเดือนสิงหาคม อย่างไรก็ตาม การบรรลุข้อตกลงอาจต้องแลกกับการยอมรับหลายอย่าง เช่น ไทยต้องนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นลดภาษีนำเข้าสินค้าบางประเภท ซึ่งกลุ่มสินค้าที่มีความเสี่ยงที่จะต้องนำเข้าเพิ่มขึ้น หรือต้องลดภาษีนำเข้าได้แก่ น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ เนื้อหมู และข้าวโพด ส่งผลให้ผู้ประกอบการหรือเกษตรกรที่เกี่ยวข้องกับสินค้าเหล่านี้ เช่น ผู้เลี้ยงเนื้อหมู มีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบ
สำหรับผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นประเมินว่าความเสี่ยงสูงไว้ 3 ผลกระทบหลัก 1.ผู้ส่งออกโดยตรงไปยังสหรัฐจะได้รับผลกระทบโดยตรง 2.หากไทยถูกเก็บภาษีสูงกว่าเวียดนาม คำสั่งซื้อจะไหล่ไปยังคู่แข่งในเวียดนาม และ 3.หากการส่งออกชะลอตัว เศรษฐกิจโลกชะลอตัว และได้รับผลกระทบจากการบริโภคและการผลิตภายในไทย จากการประเมินหากในกรณีที่ถูกเก็บภาษีที่ 36% ส่งผลให้จีดีพีไทยปีนี้คาดว่าจะขยายตัวเพียง 0.9% ขณะกรอบดัชนี SET ประเมินกรอบล่างจะอยู่ที่ประมาณ 1,000 จุด และมีโอกาสที่จะหลุด 1,000 จุด ลงไปได้ถึงประมาณ 980 จุด
"จากความไม่แน่นอนที่สูงมากในปัจจุบัน แนะนำให้โฟกัสไปที่หุ้นปันผล โดยเฉพาะกลุ่มหุ้นที่จ่ายปันผลสูง เช่น กลุ่มธนาคาร เข้าทยอยสะสม และที่สำคัญคือ ควรสำรองเงินสดไว้ส่วนหนึ่งเช่นกัน"







