เปิด 4 ปัจจัยกระทบตลาดหุ้นสหรัฐฯ ครึ่งหลังของปี 2025

เปิด 4 ปัจจัยกระทบตลาดหุ้นสหรัฐฯ ครึ่งหลังของปี 2025 นโยบายการค้าความไม่แน่นอนจากการเจรจาการค้าของสหรัฐฯ ที่มีเส้นตายในวันที่ 9 กรกฎาคม 2025 รวมถึงผลประกอบการบริษัท ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสต และร่างกฎหมายงบประมาณและภาษี
KEY
POINTS
- นโยบายการค้า: ความไม่แน่นอนจากการเจรจาการค้าของสหรัฐฯ ที่มีเส้นตายในวันที่ 9 กรกฎาคม 2025 ซึ่งอาจนำไปสู่การขึ้นภาษีและส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลก แม้จะมีความคืบหน้ากับบางประเทศ แต่การเจรจากับคู่ค้าสำคัญอย่างยุโรป ญี่ปุ่น และแคนาดายังคงมีความเสี่ยง
- ผลประกอบการบริษัท: ความคาดหวังต่อการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนที่ 7.1% เป็นแรงหนุนตลาด แต่หลายบริษัทเริ่มปรับลดเป้าหมายลงจากต้นทุนที่สูงขึ้นและความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลง ซึ่งต้องรอการพิสูจน์จากผลประกอบการจริง
- ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์: ความเสี่ยงจากความขัดแย้งระหว่างประเทศยังคงอยู่ เช่น โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน และความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ-จีนในประเด็นไต้หวัน ซึ่งอาจกลับมาสร้างความผันผวนให้กับตลาดได้
- ร่างกฎหมายงบประมาณและภาษี: แม้จะมีแพ็คเกจลดภาษีมูลค่า 4.2 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ความกังวลเรื่องหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นและการขาดดุลงบประมาณมหาศาล ซึ่งนำไปสู่การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
เข้าสู่ช่วงครึ่งหลังของปี 2025 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ถึงแม้จะปรับลดลงแรงในช่วงเดือนเมษายนจากความกังวลที่ประธานาธิบดี โดนัล ทรัมป์ ประกาศอัตราภาษีตอบโต้ต่อประเทศต่าง ๆ ที่เป็นคู่ค้าทั่วโลก แต่หลังจากนั้นสงครามการค้าดูเหมือนจะสงบลง ตลาดหุ้นสามารถกลับมาฟื้นตัวได้อย่างโดดเด่นในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2025
โดยทั้งดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ปรับตัวเพิ่มขึ้นและทำสถิติสูงสุดใหม่ ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ฟื้นกลับ หนุนมาจากความคาดหวังต่อผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน รวมถึงความคืบหน้าในการเจรจาทางการค้าระหว่าง รวมถึงแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจผ่อนคลายนโยบายการเงินในระยะข้างหน้า
บลจ.ทิสโก้ เปิดเผยว่า แม้ดัชนีจะปรับขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่ยังมีแรงกดดันจากหลายด้านที่อาจจำกัดการเติบโตของตลาดในช่วงครึ่งหลังของปีซึ่งนักลงทุนยังต้องจับตาปัจจัยเหล่านี้อย่างใกล้ชิด โดยในบทความนี้ เราจะสรุป 4 ปัจจัยเสี่ยงหลักซึ่งอาจส่งผลต่อทิศทางของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็น ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้า, ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน, ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์, และผลกระทบต่อร่างกฎหมายงบประมาณภาษีฉบับใหม่ของทรัมป์
1.วันสิ้นสุดการเจรจาข้อตกลงทางการค้าที่สหรัฐฯ กำหนดไว้ ประเด็นนโยบายการค้าระหว่างประเทศกลับมาอยู่ในความสนใจของนักลงทุนอีกครั้ง หลังจากรัฐบาลสหรัฐฯ กำหนดเส้นตายการเจรจากับหลายประเทศในวันที่ 9 กรกฎาคม 2025 หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ทัน ผู้ส่งออกอาจเผชิญกับการขึ้นภาษีจากระดับปัจจุบันอย่างน้อยที่ 10% ซึ่งจะกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลกและความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจในหลายประเทศ
ล่าสุด สหรัฐฯ ได้บรรลุข้อตกลงบางประเทศ อาทิ สหราชอาณาจักร , จีน และ เวียดนามเรียบร้อยแล้ว และมีความคืบหน้าในการเจรจากับอีกหลายประเทศ อย่างไรก็ตาม การเจรจากับประเทศอื่น ๆ เช่น ยุโรป ญี่ปุ่น รวมถึง แคนาดายังมีอุปสรรค โดยเฉพาะกรณีแคนาดาที่สหรัฐฯ ตัดสินใจยุติการเจรจาอย่างกะทันหันในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาจากการที่แคนาดาเก็บภาษีดิจิทัลกับบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ โดยถึงแม้แคนาดาประกาศยกเลิกภาษีดังกล่าวแต่ก็ยังไม่มีการแสดงออกของประธานาธิบดี โดนัล ทรัมป์ ที่ต้องการแสดงออกมาว่าจะกลับมาเจรจาแต่อย่างใด แม้ทิศทางความคืบหน้าการเจรจาทางการค้าโดยรวมจะมีพัฒนาการเชิงบวก แต่ความไม่แน่นอนของข้อตกลงก็ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถคาดเดาได้
แม้ตลาดจะเริ่มคาดการณ์ว่ากรอบเวลาอาจขยายออกไป หากสหรัฐฯ ยังไม่มีข้อตกลงที่ชัดเจน ซึ่งความไม่แน่นอนนี้ยังสามารถสร้างแรงเหวี่ยงต่อภาวะตลาดในระยะสั้น อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์หลายสถาบันมองว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจจะไม่ผันผวนมากเท่ากับตอนช่วงต้นเดือนเมษายนที่ Trump ได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้ากับหลายประเทศทั่วโลกอย่างเป็นทางการ (Liberation Day) แต่นักลงทุนยังคงต้องระมัดระวังต่อความเคลื่อนไหวในช่วงก่อนและหลังวันที่ครบกำหนดเส้นตายของการเจรจาทางการค้าของสหรัฐฯ
2.แรงหนุนของกำไรอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องจับตา ความคาดหวังต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนเป็นหนึ่งในแรงผลักดันสำคัญของตลาดในช่วงครึ่งปีแรก โดย Bloomberg Intelligence คาดว่ากำไรของบริษัทใน S&P 500 จะเติบโตเฉลี่ย 7.1% ในปี 2025 และมีแนวโน้มเร่งตัวในปี 2026 อย่างไรก็ดี ความคาดหวังเหล่านี้ยังคงต้องรอการพิสูจน์จากผลประกอบการจริงในไตรมาสถัดไป
ทั้งนี้ หลายบริษัททั่วโลกปรับลดเป้าหมายรายปีลงในช่วงการประกาศผลการดำเนินงานไตรมาสล่าสุด โดยให้เหตุผลหลักเรื่องต้นทุนที่สูงขึ้นและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่อ่อนแรง ข้อมูลจากการสำรวจของ Business Roundtable เดือนมิถุนายนยังพบว่า ผู้บริหารมีมุมมองที่ระมัดระวังมากขึ้น โดยเฉพาะในแง่การจ้างงานและการลงทุน
แม้จะมีความหวังจากแพ็คเกจลดภาษีของรัฐบาล Trump มูลค่า $4.2 trillion ซึ่งผ่านการพิจารณาทั้ง 2 สภาแล้ว และอาจช่วยลดภาระต้นทุนให้กับภาคธุรกิจบางกลุ่ม แต่ยังไม่สามารถชดเชยแรงกดดันที่มากขึ้นจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจได้เต็มที่ โดยบริษัทจดทะเบียนของสหรัฐฯ จะเริ่มประกาศผลการดำเนินงานออกมาในช่วงกลางเดือน ก.ค.นี้ เป็นต้นไป
3.ความเสี่ยงที่ยังอยู่จากปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจสร้างแรงกระเพื่อมให้กับตลาด แม้ความขัดแย้งระหว่างอิหร่านและอิสราเอลจะคลี่คลายลงในระยะสั้น และช่วยลดแรงกดดันราคาน้ำมันในช่วงที่ผ่านมา อีกทั้งยังช่วยคลายกังวลให้กับตลาดต่อแนวโน้มเงินเฟ้อ แต่ทิศทางของโครงการนิวเคลียร์ในอิหร่านยังคงไม่แน่นอน แม้ว่าจะมีรายงานว่าการโจมตีของสหรัฐฯ อาจทำให้โครงการหยุดชะงักไปบ้าง แต่ก็มีแนวโน้มว่าอิหร่านจะสามารถฟื้นฟูโครงการได้ในระยะสั้น ซึ่งยังเป็นประเด็นที่ตลาดต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
ด้านฝั่งเอเชีย ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังต้องจับตาเป็นพิเศษ แม้จะมีข้อตกลงร่วมกันที่เปิดทางให้สหรัฐฯ เข้าถึงแร่หายากและผ่อนคลายข้อจำกัดบางส่วนในการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูง อาทิ ชิป AI แต่ยังมีประเด็นเชิงยุทธศาสตร์ที่อาจสร้างความตึงเครียดได้ในระยะข้างหน้าโดยเฉพาะในกรณีไต้หวัน ดังนั้นถึงแม้ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯกับจีนจะดูดีขึ้นในช่วงทีผ่านมา แต่ก็ถือเป็นประเด็นที่อาจกลับมาสร้างความผันผวนให้กับตลาดหุ้นได้เช่นเดียวกัน
4.ร่างงบประมาณภาษีของทรัมป์ จะส่งผลบวกหรือลบต่อตลาด ในเดือนพฤษภาคม 2025 สหรัฐฯ ถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลงโดย Moody’s จากความกังวลเรื่องวินัยทางการคลัง และหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากแผนใช้งบประมาณขนาดใหญ่ทั้งฝั่งรายจ่ายและการลดภาษี หากไม่สามารถควบคุมสมดุลทางการคลังได้ อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของตลาดพันธบัตรและสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก
โดยก่อนหน้านี้ร่างกฎหมายงบประมาณของทรัมป์ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยบวกที่ตลาดรอคอย แต่เมื่อมีประเด็นการลดอันดับความน่าเชื่อถือเกิดขึ้น ดูเหมือนความกังวลต่อร่างกฎหมายงบปะมาณฉบับนี้จะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งมีนักเศรษฐศาสตร์ที่ไม่เห็นด้วยกับ Trump โจมตีว่าสหรัฐฯ อาจจะขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นถึงกว่า $3 ล้านล้านใรช่วงระยะอีก 10 ปีข้างหน้า
โดยความกังวลการขาดดุลของสหรัฐฯ อาจส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ทรงตัวอยู่ในระดับสูง
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ แสดงให้เราเห็นหลายครั้งว่าในระยะยาวยังคงเป็นตลาดหุ้นที่สร้างผลตอบแทนได้ดีอย่างสม่ำเสมอและยังมีกลุ่มอุตสาหกรรมที่สร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าภาพตลาดโดยรวม ดังนั้นหากเป็นนักลงทุนที่คาดหวังผลตอบแทนในระยะยาวควรมองข้ามความผันผวนระยะสั้นที่อาจเกิดขึ้น ส่วนนักลงทุนที่รับความผันผวนได้ต่ำ อาจพิจารณากระจายความเสี่ยงออกไปยังภูมิภาคอื่น ๆ เพิ่มเติม






