โบรกเกอร์คาด ‘หุ้นไทย’ ฟื้นระยะสั้น ชี้ปลดล็อกความคลุมเครือ หลังศาล สั่งนายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่

โบรกเกอร์คาด ‘หุ้นไทย’ ฟื้นระยะสั้น ชี้ปลดล็อกความคลุมเครือ หลังศาล สั่งนายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่

“หุ้นไทย” พุ่งปิดตลาด 20.45 จุด กลับมาระดับ 1,110.01 จุด หลังศาล สั่งนายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว คาดลดแรงกดดันม็อบยกระดับความรุนแรง “บล.ฟินันเซีย ไซรัส” ชี้ประเด็นการเมืองเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน และต้องติดตามใกล้ชิด “บล.พาย” มองเชิงบวกฟื้นตัวระยะสั้น “บล.ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล” คาดกระบวนการพิจารณาขั้นสุดท้ายจะใช้เวลา 1-3 เดือน 

ความเคลื่อนไหว “ดัชนีหุ้นไทย” วานนี้ (1 ก.ค.2568) ปิดตลาดพุ่ง 20.45 จุด มาระดับ 1,110.01 จุด หรือเพิ่มขึ้น 1.88% ด้วยมูลค่าซื้อขาย (วอลุ่ม) 41,714.05 ล้านบาท โดยพบว่า “สถาบัน” (กองทุน) ซื้อสุทธิ 814.55 ล้านบาท “บัญชีบริษัทหลักทรัพย์” (บล.) ซื้อสุทธิ 771.52 ล้านบาท ขณะที่ “ต่างชาติ” ขายสุทธิ 776.06 ล้านบาท และ “ในประเทศ” (รายย่อย) ขายสุทธิ 810 ล้านบาท หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 7 ต่อ 2 สั่งให้ นายกรัฐมนตรี “แพทองธาร ชินวัตร” หยุดปฏิบัติหน้าที่ กรณีปมคลิปเสียงการสนทนาระหว่างนายกรัฐมนตรีกับ “สมเด็จฮุน เซน” นับแต่ 1 ก.ค.2568 เป็นต้นไป จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัยชี้ขาด และให้ส่งเอกสารชี้แจงภายใน 15 วันนี้ ดังนั้น แม้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมา แต่คาดว่าจะยังไปต่อได้ “ไม่ไกลมาก” ซึ่งยังคงต้องเฝ้าจับตาประเด็นทางการเมืองอย่างใกล้ชิด เพราะความไม่แน่นอนยังคงมีอยู่

โบรกเกอร์คาด ‘หุ้นไทย’ ฟื้นระยะสั้น ชี้ปลดล็อกความคลุมเครือ หลังศาล สั่งนายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่

นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟินันเซีย ไซรัส ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งมองทิศทางของตลาดหุ้นไทยเป็นกลาง แม้ตลาดหุ้นจะบวกขึ้นมาค่อนข้างมาก วานนี้ แต่ทว่าหลังจากนี้ยังคงต้องรอคำตัดสินขั้นสุดท้ายอีก โดยในแง่ของการเมืองผู้รักษาการยังคงทำหน้าที่แทนได้ และสามารถผลักดันกฎหมายงบประมาณได้สำเร็จ

ทั้งนี้ หากพรรคร่วมรัฐบาลยังคงเกาะกลุ่มกันอยู่ โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ในสภาก็ยังคงสามารถทำหน้าที่ผ่านกฎหมายได้ และพรรคร่วมเองก็ยังคงเดินหน้านโยบายของรัฐบาลต่อไปได้ 

อย่างไรก็ตาม การที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคดี และสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นั้น มองว่าดีกว่าการไม่รับคดี เพราะหากศาลไม่รับคดีอาจทำให้ม็อบยกระดับความรุนแรงขึ้นได้ ดังนั้น แม้ดัชนีจะฟื้นตัวขึ้นมาได้จากการคลายความกังวลในประเด็นดังกล่าว แต่ทว่าม็อบก็ยังคงอยู่ เพียงแต่อาจไม่รุนแรงขึ้นมากนัก

“ดัชนีปรับตัวขึ้นมาถึงระดับนี้อาจยังไม่สามารถไปต่อได้ไกลมากนัก ซึ่งดัชนีจะต้องผ่านโซน 1,120 จุดก่อน จึงจะดูเป็นบวกมากขึ้น ซึ่งประเด็นทางการเมืองยังคงเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน และยังคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ดังนั้น นักลงทุนยังคงต้อง เลือกหุ้นเป็นรายตัว และยังคงเป็นลักษณะของการเทรดดิ้งในช่วงนี้”

นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย ให้ข้อมูลต่อไปว่า หลังจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมาว่าให้นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว ขณะที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวในเชิงบวก ซึ่งมองว่าเป็นการฟื้นตัวของตลาดหุ้นในระยะสั้น เพราะหลังจากนี้อาจเกิดความคาดหวังถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง

โดยก่อนหน้านี้ตลาดหุ้นไทยเผชิญหลายปัจจัยลบ ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจไทยที่เติบโตต่ำเพียง 1-2% รวมถึงประเด็นเกี่ยวกับคลิปเสียงหลุด และการรับรู้ของตลาดต่อสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่ได้เป็นบวกมากนัก 

อย่างไรก็ตาม เมื่อมีข่าวการสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ออกมา นักลงทุนอาจมองหาโอกาสจากความหวังใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้น หากมีการเปลี่ยนแปลงผู้นำคนใหม่ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะคล้ายกับ อดีตนายกรัฐมนตรี “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ที่เคยหยุดปฏิบัติหน้าที่ไปช่วงหนึ่งก่อนจะกลับมาทำงานได้ตามปกติ ซึ่งตลาดกำลังจับตาดูว่า ผลการตัดสินของศาล จะออกมาเป็นอย่างไร และจะนำไปสู่การกลับมาปฏิบัติหน้าที่หรือการเปลี่ยนแปลงผู้นำหรือไม่

ทั้งนี้ การลงทุนในตลาดหุ้นไทย แนะนำให้ทยอยสะสมหุ้นไทย โดยเฉพาะเมื่อดัชนีอยู่ในช่วงประมาณ 1,050-1,060 จุด สาเหตุหลักที่ทำให้หุ้นไทยน่าสนใจคือ Valuation ที่ไม่ได้แพงมากนัก ปัจจุบัน P/Book Value ของตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ประมาณ 1 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่ในอดีตมักจะเห็นการฟื้นตัวของตลาดหุ้น ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยเคยลงมาเทรดที่ระดับ P/Book Value 1 เท่าเพียง 2 ครั้งเท่านั้น คือ ช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง และวิกฤติซับไพรม์ ดังนั้นการที่ตลาดลงมาเทรดที่ 1 เท่า Book Value ในปัจจุบันจึงเป็นจุดที่น่าสนใจสำหรับการเข้าสะสม

นายกรรณ์ หทัยศรัทธา หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน และ นักเศรษฐศาสตร์ สายงานวิจัย บล. ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า จากมติ 7:2 ของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นการวินิจฉัยเรื่องตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจากคลิปเสียง ซึ่งมตินี้มีความหมายคือ สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว และรอคำวินิจฉัยขั้นสุดท้าย คาดว่ากระบวนการพิจารณาขั้นสุดท้ายนี้จะใช้เวลาประมาณ 1-3 เดือน

อย่างไรก็ตาม การที่ศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องไว้พิจารณา และสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว เป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ในระดับหนึ่งแล้ว และตลาดหุ้นได้มีการปรับตัวลงมาแล้วตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา จากความกังวลทั้งเรื่องการชุมนุม และประเด็นทางศาล

ทั้งนี้ แนะนำการลงทุนยังคงให้ความสนใจกับ กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะหุ้นน้ำมัน อย่าง PTTEP หากราคาปรับตัวลดลง ถือเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าซื้อขณะที่ กลุ่มธนาคารมีการปรับตัวลงถือเป็นจังหวะในการเข้าซื้อที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หุ้น KTB ส่วนกลุ่มสื่อสารถือเป็นจังหวะในการดักเก็บ เนื่องจากการประเมินสถานการณ์การประมูลที่ผ่านมา พบว่ามีการแข่งขันไม่ค่อยรุนแรงนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หุ้น ADVANC ที่มีความน่าสนใจ

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์