Mission 2000 ปฏิบัติการฉุดเศรษฐกิจ-ตลาดทุนไทยไปดวงดาว

Mission 2000 ปฏิบัติการฉุดเศรษฐกิจ-ตลาดทุนไทยไปดวงดาว

หากใครพูดว่า “จะทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยไป 2,000 จุด” ได้นั้นฟังดูตลก เพราะปัจจุบันดัชนีจะไปถึง 1,200 จุดยังยาก แต่คณะนักศึกษาหลักสูตรผู้บริหารระดับสูง สถาบันวิทยาการตลาดทุน รุ่นที่ 35 (วตท.35) ไม่สิ้นความหวัง

เมื่อไม่นานมานี้ได้นำเสนอโครงการวิจัย “Mission 2000: Confidence, Continuity and Connectivity” ที่มุ่งหวังพลิกโฉมตลาดหุ้นไทยให้ทะยานสู่เป้าหมาย 2,000 จุด ภายใน 5 ปี

หากเปรียบเทียบแล้ว ดัชนีหุ้นนั้นเปรียบเสมือนแผนที่ชี้แนวโน้มเศรษฐกิจ พิจารณาได้จากตลาดหุ้นไทยที่เพียง 2 ปีก่อนวิ่งอยู่ในระดับ 1,600-1,700 จุด แต่ปัจจุบันกลับมาวิ่งอยู่แถว 1,100 จุดเท่านั้น และเสี่ยงที่จะหลุด 1,000 จุดอยู่ทุกเมื่อ

และหากพิจารณาสถานการณ์ปัจจุบันของเศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะ “ชะงักงัน” ประเทศไทยติดอยู่ในกับดักรายได้ปานกลางมายาวนาน โดยเฉพาะหลัง Covid-19 ที่การเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ที่เพียง 2.2% ต่อปี

ปัญหาหลักที่เราเผชิญคือ การขาด New Growth Engine หรือเครื่องยนต์ใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ดังนั้น งานวิจัยของ วตท.35 จึงได้นำแนวคิด “ลูกธนูสามดอก” หรือ Abenomics ของญี่ปุ่นมาประยุกต์ใช้กับบริบทไทย เนื่องจากเศรษฐกิจและตลาดทุนไทยในปัจจุบันคล้ายกับญี่ปุ่นในช่วงปี 2555 โดยแบ่งเป็น 3 แนวทางหลัก

1.การปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐาน (Hard Infrastructure) ข้อเสนอหลักคือการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ประมาณ 2.6 ล้านล้านบาท ครอบคลุมโครงการที่จะเพิ่มผลิตภาพทางเศรษฐกิจได้จริง โดยแบ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานน้ำและชลประทานเพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วม โครงสร้างระบบขนส่งทางรางและถนนหลวง โครงสร้างพื้นฐานป้องกันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล 

โครงสร้างด้านการศึกษาและการลงทุนภาครัฐ-เอกชนอื่นๆ ที่เชื่อมโยงไทยกับภูมิภาคและโลก เช่น ท่าเรือฝั่งอันดามัน การลงทุนขนาดนี้คาดว่าจะเพิ่มการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ 0.54-1.27% ต่อปี โดยผลกระทบทางตรงจะให้ผลใน 5 ปีข้างหน้า ขณะที่ศักยภาพเศรษฐกิจจะเพิ่มขึ้นในระยะยาว

2.การปฏิรูปเชิงนโยบาย  (Soft Infrastructure) แบ่งได้เป็น 5 ประเด็นย่อย 1) การปฏิรูปการคลังที่เป็นหัวใจสำคัญของแผนนี้ เพราะต้องหาเงินมาใช้ในการปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐาน แต่ก็ไม่ทำให้เสียวินัยการคลังจนถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ

โดยในระยะสั้นเน้นการขยายฐานภาษี ลดส่วนลดและข้อยกเว้นทางภาษีต่าง ๆ พร้อมเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะจาก 70% เป็น 80% ของ GDP เพื่อเตรียมเม็ดเงินมาลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ขณะที่ระยะยาวหลังจากการลงทุนเริ่มผลิดอกออกผลและทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นแล้ว จึงค่อยปรับขึ้นภาษีเพื่อปรับลดเพดานหนี้สาธารณะ

2) การปฏิรูปการศึกษาไทยด้วยเทคโนโลยีจะเน้นการเปลี่ยนจาก “ปริมาณ” สู่ “คุณภาพ” โดยจำกัดการขยายโรงเรียนขนาดเล็กซึ่งมากถึง 50% ของโรงเรียนรัฐ การนำเทคโนโลยีเข้ามาจะสามารถลดค่าใช้จ่ายบุคลากร ทำให้งานของครูไม่หนักจนเกินไป

 

โดยเป็นการนำ Education Technology อย่าง Kahoot, LingoAce, Duolingo, Eduten มาใช้เพื่อการเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา

3) การพัฒนาโมเดลธุรกิจที่แข็งแกร่ง โดยจากงานวิจัยพบว่าปัจจัยที่สำคัญที่สุด ได้แก่ การลงทุนและนวัตกรรมใหม่ ดังนั้น ธุรกิจที่จะเติบโตได้ดีจะต้องเพิ่มสัดส่วนเงินลงทุนให้ได้ 10-15% ของรายได้ ไม่ว่าจะเป็น การต่อยอดนวัตกรรม แนวทางการผลิต-จัดจำหน่าย หรือผลิตภัณฑ์ เป็นต้น ซึ่งจะทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน

4) การยกระดับธรรมาภิบาลและบทบาท ก.ล.ต. โดยข้อเสนอสำคัญคือการเพิ่มอำนาจ ก.ล.ต. ในการยับยั้งธุรกรรมที่มีความเสียหายสูง เพื่อป้องกันผลกระทบสู่ตลาดทุนเป็นวงกว้าง

นอกจากนี้ยังมีการยกระดับคุณภาพคณะกรรมการบริษัทจดทะเบียนด้วยการปรับจาก “ปริมาณ” สู่ “คุณภาพ” โดยแก้ไขกฎหมายให้กรรมการทุกคนต้องผ่านหลักสูตรอบรมภาคบังคับเรื่องหน้าที่ตามหลักความไว้วางใจ (Fiduciary Duty)

 รวมถึงสนับสนุนให้ ก.ล.ต. และสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) สามารถออกใบอนุญาตให้สถาบันการศึกษาที่ผ่านเกณฑ์สามารถจัดหลักสูตรฝึกอบรมคณะกรรมการบริษัทได้

5) การปฏิรูปนโยบายการเงินและเพิ่มสภาพคล่องโดยให้มีการทำหลายนโยบาย เช่น นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพื่อให้เงินเฟ้อเข้าสู่เป้าหมายที่ 2% โดยรวดเร็ว ผลักดันมาตรการดูแลสภาพคล่องแบบเจาะจง (คล้าย TLTRO ของยุโรป) ด้วยการให้สินเชื่อระยะยาวแก่ธนาคารพาณิชย์ในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ

โดยผูกกับผลงานการปล่อยสินเชื่อ ประสานนโยบายการเงินและการคลังแบบบูรณาการ ควบคู่ไปกับการเพิ่มสภาพคล่องในตลาดทุนไทยผ่านหลายมาตรการ เช่น การลด Tick Size / spread ระหว่างราคาเพื่อลดต้นทุนทางธุรกรรม พัฒนาสมดุลด้านอุปสงค์และส่งเสริม Share Buyback เป็นต้น

3.การปฏิรูปรายภาคส่วน ซึ่งได้แก่ Medical Hub อันเป็น “เพชรยอดมงกุฎ” ของแผน Mission 2000 นี้ โดย วตท. 35 มองว่าภาคการแพทย์เป็นเครื่องยนต์ที่สามารถผลักดันเศรษฐกิจไทยให้ก้าวกระโดดได้ ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนมูลค่าตลาดกลุ่ม HEALTH จาก 6% เป็น 12% ใน 5 ปีหรือเติบโต 27.6% ต่อปี 

แผนปฏิรูปมีหลายด้าน เช่น ตั้งคณะกรรมการเพื่อพัฒนาและสนับสนุนอุตสาหกรรมการแพทย์ สร้างโครงสร้างพื้นฐานและระบบนิเวศนวัตกรรม (Innovative Park) ปฏิรูปกฎระเบียบและนโยบายเพื่อสนับสนุนการผลิตและการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ เช่น สนับสนุน Advanced Therapy Medicinal Products (ATMPs) พัฒนาแบรนด์ “Thailand Medical Hub” ให้เป็นที่รู้จักในระดับโลก และการพัฒนา Next-Gen Medical Tourism รวมถึงพัฒนา Medical City เป็นต้น

ทั้งนี้ แนวทางทั้งหมดอยู่บนสมมติฐานว่า การดำเนินมาตรการทั้งหมดนี้จะทำให้ (1) ความเชื่อมั่นมากขึ้นและเพิ่มค่า PE Multiple จาก 12 เท่าเป็น 18 เท่า (2) การเติบโตของผลตอบแทน Earnings Growth ที่ 3.65% ต่อปีอย่างต่อเนื่อง 5 ปี ซึ่งจะทำให้ (3) การเติบโตของผลกำไรบริษัทจดทะเบียนและตลาดโดยรวมมากกว่า 5% ต่อปี

หากดำเนินการตามแผนจะทำให้ GDP ไทยเติบโตที่ 4-4.5% ต่อปีจากปัจจุบันที่ 2.5% รวมถึงสร้างงานคุณภาพสูง ดึงรายได้เข้าประเทศผ่าน Medical Tourism ขณะที่ภาคการคลังจะมีรายได้จากภาษีเพิ่มขึ้น ชดเชยการขาดดุลงบประมาณ และทำให้หนี้สาธารณะลดลงในระยะยาวได้

โดยปัจจัยแห่งความสำเร็จที่สำคัญที่สุดคือ ความมุ่งมั่นทางการเมือง (Political Will) ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ-เอกชน (PPP Collaboration) และความต่อเนื่องของนโยบาย (Policy Continuity)

ตลาดหุ้นไทยที่ 2,000 จุด เศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพ กระจายรายได้อย่างเป็นธรรม และการแพทย์ที่สามารถดูแลสุขภาพของประชาชนและเป็นแหล่งรายได้สำคัญ

นี่คือทางออกที่จะปลุกชีพเศรษฐกิจและตลาดทุนไทย สร้างความไว้ใจและเชื่อมั่น (Trust and Confidence) และทำให้ไทยก้าวข้ามพ้นกับดักรายได้ปานกลางได้ในระยะยาว

บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ไม่เกี่ยวข้องใด ๆ กับหน่วยงานที่ผู้เขียนสังกัดอยู่