โบรกคาด ‘กลุ่มนิคมฯ’ ฟื้นเด่น รับแรงหนุน ‘ต่างชาติ’ ย้ายฐานผลิต หวังหนีภาษีทรัมป์ 

โบรกคาด ‘กลุ่มนิคมฯ’ ฟื้นเด่น รับแรงหนุน ‘ต่างชาติ’ ย้ายฐานผลิต หวังหนีภาษีทรัมป์ 

“กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม” ในไทยยังคงมีอนาคตที่สดใสในระยะกลางถึงยาว จาก “จุดเด่น” ด้านทำเลที่ตั้งและกระแสย้ายฐานผลิต “บล.ทิสโก้” มองระยะสั้นอาจมีความไม่แน่นอนจากการเจรจาการค้า “บล.พาย” ชี้ภาพรวมกลุ่มนิคมฯ เริ่มดีขึ้น “บล.ยูโอบี เคย์เฮียน” มองยังคงมีการเติบโตดีจาก “ยอดขาย” โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการเป็นเป้าหมายการลงทุน “ดาต้า เซนเตอร์” 

แม้ภาพรวม “เศรษฐกิจโลก” จะยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน จากปม “สงครามการค้า” ระหว่างประเทศมหาอำนาจ แต่ “กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม”ในประเทศไทยยังคงเป็นธีมลงทุนที่น่าจับตาในระยะกลางถึงยาว ด้วยปัจจัยหนุนทำเลที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์ในอาเซียน และกระแส“การย้ายฐานการผลิต”ที่ยังคงดำเนินต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อ “จีน” เผชิญแรงกดดันจากภาษีนำเข้าสหรัฐที่สูงขึ้น

โบรกคาด ‘กลุ่มนิคมฯ’ ฟื้นเด่น รับแรงหนุน ‘ต่างชาติ’ ย้ายฐานผลิต หวังหนีภาษีทรัมป์ 

“ไทยมีภูมิศาสตร์ที่ดี เป็นจุดศูนย์กลางของภูมิภาคเอเชีย” นี่คือ มุมมองของบรรดานักวิเคราะห์ ที่มองภาพใหญ่ของกลุ่มนิคมฯ โดดเด่น สะท้อนจากราคาหุ้นวานนี้ (30 มิ.ย.2568) ปรับตัวขึ้น ประกอบด้วย บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) อยู่ที่ 3.16 บาท เพิ่มขึ้น 2.60% บมจ.อมตะ คอร์ปอเรชัน (AMATA) อยู่ที่ 14.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.70% บมจ.สวนอุตสาหกรรมโรจนะ (ROJNA) อยู่ที่ 4.36 บาท ลดลง 0.91% โดยระหว่างวันทำราคาสูงสุดอยู่ที่ 4.40 บาท และบมจ.ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค (PIN) อยู่ที่ 4.08 บาท เพิ่มขึ้น 0.49% 

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมยังคงเป็นธีมที่ “น่าสนใจ” ในระยะกลางถึงยาว เนื่องจากประเทศไทยมีจุดเด่นด้านภูมิศาสตร์ที่ดี เป็นจุดศูนย์กลางของภูมิภาคเอเชีย และการเติบโตส่วนใหญ่ยังอยู่ในภูมิภาคนี้ แต่ทว่าในระยะสั้นอาจจะมีความไม่แน่นอนจากการเจรจาการค้า ดังนั้น การพิจารณาในหุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมควรพิจารณาในธุรกิจอื่นๆ เข้ามาประกอบด้วย เพื่อกระจายความเสี่ยง เช่น การกระจายลงทุนไปยังเวียดนาม หรือมีธุรกิจโลจิสติกส์ รวมถึงธุรกิจที่ไม่พึ่งพิงนิคมอุตสาหกรรมเพียงอย่างเดียว เป็นต้น

โดยหุ้นในกลุ่มที่น่าสนใจคือหุ้น AMATA และ WHAเนื่องจากราคาได้ปรับตัวลงมาก่อนหน้านี้แล้วหากดูในแง่ Valuation ได้ซึมซับความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเจรจาการค้าไปในระดับหนึ่งแล้ว นักลงทุนสามารถทยอยเข้าซื้อหุ้นได้ โดยอาจแบ่งไม้ซื้อเป็นบางส่วนก่อน และอีกส่วนหนึ่งอาจรอความชัดเจนจากการเจรจาการค้าก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม สงครามการค้าระหว่าง “สหรัฐกับจีน” ยังคงเป็นสำคัญที่ต้องเฝ้าระวัง โดยช่วงต้นเดือนก.ค. จะครบกำหนด 90 วันที่สหรัฐผ่อนปรนเรื่องภาษี ซึ่งจะต้องจับตาดูว่าผลการเจรจาในครั้งนี้ ซึ่งเทียบกับคู่ค้าหรือคู่แข่งในภูมิภาคเดียวกัน เช่น เวียดนาม หรือจีน ที่มีศักยภาพแข่งขันกับไทย หากไทยมีสถานะหรือผลกระทบภาษีที่ต่ำกว่าจีนจะถือเป็นข้อดี แต่ยังคงต้องเทียบกับประเทศอื่นๆ ด้วยที่เป็นเป้าหมายที่อาจมีการกระจายฐานผลิตมายังประเทศอื่น ๆ ซึ่งต้องมาลุ้นกันด้วยในภูมิภาค หรือประเทศเพื่อนบ้านจะได้ภาษีอยู่ที่ระดับเท่าใด แต่คาดจีนจะได้รับผลกระทบมากกว่า หรืออัตราภาษีสูงกว่า 20% ขึ้นไป ทำให้มีขยายการผลิตออกไปยังประเทศอื่น ๆ

นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์บล.พายกล่าวว่า ภาพรวมหุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมดูดีขึ้น จากก่อนหน้านี้ สถานการณ์พลิกผันเมื่อ “โดนันด์ ทรัมป์” ขึ้นภาษีกับทุกประเทศ ทำให้กลุ่มนิคมฯ ทั้ง WHA และ AMATA ปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก

ซึ่งปัจจุบันภาพรวมเริ่มดีขึ้น เนื่องจากการส่งสัญญาณของรัฐมนตรีกระทรวงการคลังของไทย ที่เตรียมเข้าเจรจากับสหรัฐ ทำให้กลุ่มนิคมฯ มีความหวังเพิ่มมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าสุดท้ายแล้วไทยจะโดนภาษีเท่าใด หากกรณีดีที่สุดไทยโดนภาษี 10% และประเทศอื่นๆ โดนภาษีมากกว่า 10% ซึ่งจะส่งผลบวกต่อกลุ่มนิคมฯ อย่างแน่นอน แต่ประเด็นดังกล่าวยังไม่ทราบผลที่ชัดเจน รวมทั้งยังมีความเป็นไปได้ที่สหรัฐอาจขยายระยะเวลาของ Reciprocal Tariff ออกไปอีกก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกัน

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ รองกรรมการผู้จัดการบล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลเสริมว่า กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมยังคงมีการเติบโตอยู่จากยอดขายที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ไทยได้รับความนิยมในฐานะเป้าหมายการลงทุน Data Center เนื่องจากมีระบบสำรองไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมหลายอย่าง 

อย่างไรก็ตาม มูลค่าที่นักลงทุนจะให้กับหุ้นกลุ่มดังกล่าวอาจปรับตัวลดลง จากเดิมที่ให้พี/อีที่สูงแต่ต่อไปตลาดอาจลดระดับพี/อีลง จากในอดีตกลุ่มนิคมฯ เคยมีพี/อีสูงถึง 10-12 เท่า แต่ในอนาคตอาจจะอยู่ที่ประมาณ 10 เท่า หรือไม่เกิน 12 เท่า และอาจลดลงเหลือเพียง 9 เท่า ในบางกรณี ซึ่งขึ้นอยู่กับบรรยากาศความรุนแรงทางภูมิรัฐศาสตร์และความอ่อนไหวต่อการย้ายฐานผลิต

ทั้งนี้ แม้รายได้หลักของกลุ่มนิคมฯ มาจากการขายที่ดินในช่วงที่ผ่านมามีกำไรดีซึ่งเป็นต้นทุนเก่า แต่ในอนาคตต้นทุนที่ดินในมือจะเริ่มเป็นของใหม่ ทำให้ Cross Margin อาจเริ่มลดลง หากไม่สามารถขึ้นราคาที่ดินได้เร็วพอ ยังคงแนะนำซื้อหุ้น WHA และ AMATA