โบรกคาด ‘อิสราเอล-อิหร่าน’ แค่พักรบ หนุน ‘หุ้นไทย’ ระยะสั้น เหตุเศรษฐกิจไทยอ่อนแอ

โบรกคาด ‘อิสราเอล-อิหร่าน’ แค่พักรบ หนุน ‘หุ้นไทย’ ระยะสั้น เหตุเศรษฐกิจไทยอ่อนแอ บล.บัวหลวง ระบุ ความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต แม้มีการประกาศยุติการยิงชั่วคราวแล้วแต่อาจจะกลับไปยิงกันใหม่ได้ ขณะที่ บล.กสิกรไทย เผย จากสถิติที่ผ่านมาช่วงสงครามตะวันออกกลางในอดีต ส่งผลต่อดัชนีหุ้นไม่มาก ดาวน์ไซด์อยู่ที่ประมาณ 1-1.5% ด้าน บล.ยูโอบี เคย์เฮียน ระบุ สถานการณ์ต่าง ๆ ทำให้ในระยะสั้น ความเสี่ยงลดลง
พลันที ! มีการประกาศหยุดยิงชั่วคราวระหว่าง “อิสราเอล-อิหร่าน” ปฏิกิริยาแรกรับข่าวดังกล่าว คงยกให้ “สินทรัพย์เสี่ยง” อย่าง ตลาดหุ้นทั่วโลก สะท้อนภาพตลาดหุ้นเอเชียพลิกฟื้นโดดเด่น ซึ่งเมื่อ 25 มิ.ย. 2568 ดัชนีหุ้นไทยพุ่ง 37 จุด กลับมายืนเหนือ 1,100 จุดได้อีกครั้ง แต่ดูเหมือนประเด็นดังกล่าวจะเป็นการผ่อนคลายความกังวลระยะสั้น หลังเหล่านักวิเคราะห์ต่างมีมุมมองทางเดียวกันว่าหุ้นไทยอาจจะเป็นแค่การ “รีบาวนด์” เท่านั้น... นี่ยังไม่ใช่เทรนด์ “ขาขึ้น” เพราะความรุนแรงยังสามารถปะทุซ้ำขึ้นมาได้ ฟาก “เศรษฐกิจไทย” ยังไร้ปัจจัยฟื้นตัว ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยยังมีอัปไซด์ที่จำกัด
“พิริยพล คงวาณิช” ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์พื้นฐานสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)บัวหลวง ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า แม้สงครามตะวันออกกลางจะเริ่มคลายตึงเครียดลง แต่ยังต้องเฝ้าระวังใกล้ชิด เพราะความไม่แน่นอนเกิดขึ้นได้ จากฝั่งอิหร่านยังคงต้องการดำเนินโครงการนิวเคลียร์ต่อ ขณะที่ฝั่งอิสราเอลต้องการกำจัดภัยคุกคามให้สิ้นซาก จุดยืนที่แข็งกร้าวทั้งสองฝ่ายนี้ทำให้การเจรจาอาจไม่ราบรื่นนัก และมีความเป็นไปได้สูงที่ความขัดแย้งจะปะทุขึ้นอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม มีความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต แม้มีการประกาศยุติการยิงชั่วคราวแล้วแต่อาจจะกลับไปยิงกันใหม่ได้ แม้แต่ระหว่างช่วงที่ตกลงพักการยิง ก็ยังมีโอกาสที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเริ่มโจมตีก่อนได้ โดยการหยุดยิงครั้งนี้เป็นเพียงชั่วคราวแค่ 12 วันเท่านั้น ทำให้ยังไม่สามารถวางใจได้อย่างเต็มที่
แนวโน้มหุ้นไทย “อัปไซด์จำกัด” เนื่องจากพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ยังไม่เอื้ออำนวยและภาพรวมเศรษฐกิจที่ยังคงอ่อนแออยู่ การฟื้นตัวของตลาดในรอบนี้อาจจะไม่ได้มีมากนัก และอยากให้นักลงทุนยังคงต้องจับตาดูสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ยังคงมีความไม่แน่นอนสูงและอาจกลับไปสู่ความขัดแย้งได้อีกครั้ง
“สรพล วีระเมธีกุล” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บล.กสิกรไทย ให้ข้อมูลต่อไปว่า จากสถิติที่ผ่านมาในช่วงที่มีสงครามตะวันออกกลางในอดีต ส่งผลต่อดัชนีหุ้นไม่มาก ดาวน์ไซด์อยู่ที่ประมาณ 1-1.5% แนวรับสำคัญที่ระดับ 1.0 บุ๊ก คิดเป็นประมาณ ประมาณ 1,050 จุด ซึ่งหากย้อนไปในช่วงปี 2551 ดัชนีหุ้นไทยเคยหลุด 1.0 บุ๊ก แค่ครั้งเดียว ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจโลก (GFC) หลังจากนั้นไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์สงครามตะวันออกกลาง , วิกฤติโควิด-19 , แผ่นดินไหว หรือสถานการณ์น้ำท่วม ซึ่งดัชนีหุ้นไทยไม่เคยหลุดแนวรับ 1.0 บุ๊ก และปัจจุบันดัชนีหุ้นไทยถือว่า “ดาวน์ไซด์ค่อนข้างจำกัด” แล้ว ดังนั้น แนะนำทยอยสะสมได้ เป้าหมายดัชนีหุ้นไทยไว้ 1,145 จุด
“ในระยะสั้น ๆ สิ่งที่ต้องตามต่อคือ การปิดช่องแคบฮอร์มุซ สุดท้ายแล้วจะเป็นอย่างไร เพราะจะส่งผลกระทบในวงกว้าง เพราะช่องแคบฮอร์มุซ คิดเป็นการส่งผลน้ำมันเกือบ 20% ของโลก และหลัก ๆ มาจากทางเอเชีย และประเทศที่รับมากสุดคือ จีน และยังคงต้องติดตามดูว่าหลังจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป”
ส่วนในช่วงครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงสูงที่จะชะลอตัว หากไม่สามารถเจรจาทางการค้าได้สำเร็จในวันที่ 9 ก.ค. นี้ ซึ่งอาจมีการขอขยายเวลาในการเจรจา ซึ่งหากการเจรจาไม่สำเร็จ จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในเรื่องของ การส่งออก เศรษฐกิจภาพรวม การท่องเที่ยว และการบริโภค ทำให้คาดว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยทั้งปีอาจอยู่ที่เพียง 1.4%
“กิจพณ ไพรไพศาลกิจ” รองกรรมการผู้จัดการ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลเพิ่มว่า ปัจจัยสําคัญที่จะกําหนดสถานการณ์ในตะวันออกกลางว่าจะยืดเยื้อหรือไม่ยืดเยื้อ ซึ่งแม้ว่าจะมีความลังเลอยู่ แต่จุดที่อาจต้องติดตาม หากไปดูที่พันธมิตรของทางด้านอิหร่านค่อนข้างจะอ่อนกำลังทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นรัสเซีย จีน หรือประเทศอื่น ๆ ในตะวันออกกลาง เพราะฉะนั้นพอเราเห็นว่าอิหร่านมีความโดดเดี่ยวมาก ๆ โอกาสที่จะรับมือสหรัฐได้ยาวนานค่อนข้างจะยาก
ขณะเดียวกัน การแถลงการณ์ในเรื่องการตอบโต้ การโจมตีจากสหรัฐ ขนาดถูกสหรัฐทิ้งบอมบ์ไปแล้วในการตอบโต้ยิว ซึ่งไม่ได้พูดถึงประเทศสหรัฐเลย ก็แสดงว่าแท้จริงแล้วอิหร่านต้องการจะหาจังหวะที่จะยุติสงครามหรือไม่ทําให้สงครามยกระดับขึ้นไปมากกว่านั้น
“สถานการณ์ต่าง ๆ ทำให้ในระยะสั้น ความเสี่ยงลดลง รวมถึงการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำดิบจากที่เคยกังวลในเรื่องต้นทุนน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นมามาก ๆ ก็อาจที่จะมีโอกาสแรงเก็งกำไร ในกลุ่มสายการบิน หรือจะเป็นโรงไฟฟ้าก็ตาม โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าที่มีการขายไฟให้กับเอกชนเช่น BGRIM และ GPSC ซึ่งตลาดจะกลับมามองบวกขึ้นมาได้”






