GULF ดีเดย์ลงทุน 6 หมื่นล้านท่าเรือมาบตาพุด ก่อสร้างสิ้นปี 68 และเปิดใช้เชิงพาณิชย์ Q1/72

GULF ดีเดย์ลงทุน 6 หมื่นล้านท่าเรือมาบตาพุด  ก่อสร้างสิ้นปี 68 และเปิดใช้เชิงพาณิชย์ Q1/72

GULF อนุมัติเริ่มดำเนินการโครงการพัฒนาท่าเทียบเรือก๊าซและสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว งบลงทุน 60,000 ล้านบาท คาดก่อสร้าง Q4/68 และเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ภายใน Q1/72

          นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ  GULF  แจ้งการดำเนินการร่วมพัฒนาโครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 ในส่วนของท่าเทียบเรือก๊าซและสถานีรับ-จ่าย ก๊าซธรรมชาติเหลว  ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกได้วางแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษ ภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC)

         โดยมีวัตถุประสงค์ในการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก (อีสเทิร์นซีบอร์ด) ให้มีโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคที่มีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นการยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย โดยมี โครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3(“โครงการมาบตาพุด”) เป็นหนึ่งในโครงการสำคัญของแผนพัฒนา EEC ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถและความจุในการขนถ่ายก๊าซธรรมชาติเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ

        ทั้งนี้ บริษัท กัลฟ์ เอ็มทีพี แอลเอ็นจี เทอร์มินอล จำกัด (“GMTP”) ได้จัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโครงการมาบตาพุดดังกล่าว โดยเป็น บริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท และบริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด ซึ่งถือหุ้นใน สัดส่วนร้อยละ 70 และ 30 ตามลำดับ โดย GMTP ได้ลงนามในสัญญาร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public Private Partnership) กับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เป็นระยะเวลา 35 ปี เพื่อดำเนินโครงการมาบตาพุด

         โดยโครงการดังกล่าวประกอบไป ด้วยงานถมทะเลในพื้นที่ประมาณ 1,000 ไร่ และงานพัฒนาท่าเทียบเรือก๊าซและสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG Terminal) บนพื้นที่ถมทะเลประมาณ 200 ไร่ โดยในส่วนของงานถมทะเลนั้น GMTP ได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนธันวาคม 2564 และถมทะเล แล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อยในเดือนมีนาคม 2568 ที่ผ่านมา

         บริษัทฯ ขอแจ้งให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทราบว่า เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568 ที่ประชุมผู้ถือหุ้นของ GMTP ได้มีมติอนุมัติให้โครงการเริ่มดำเนินการพัฒนาท่าเทียบเรือก๊าซและสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว ภายใต้วงเงินลงทุนประมาณไม่เกิน 60,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในไตรมาสที่4 ปี 2568และเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ภายในไตรมาสที่ 1 ปี 2572

          โดย สถานีดังกล่าวถือเป็นสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลวแห่งที่ 3 ของประเทศไทย ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพด้าน พลังงานของประเทศ และช่วยรองรับความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มขึ้นในภาคอุตสาหกรรมและภาคการผลิตไฟฟ้า นอกจากนี้การลงทุนในโครงการมาบตาพุดยังเป็นการต่อยอดธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ ให้เชื่อมโยงอย่างครบวงจรระหว่างธุรกิจผลิตไฟฟ้าและ ธุรกิจนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG)

         กลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักคือผู้ได้รับใบอนุญาตจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติในประเทศ ซึ่งรวมถึงบริษัทในกลุ่ม ได้แก่ บริษัท หินกองเพาเวอร์โฮลดิ้ง จำกัด (“HKH”) และบริษัท กัลฟ์ แอลเอ็นจี จำกัด (“GLNG”) ที่มี แนวโน้มการนำเข้า LNG ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าภายใต้กลุ่มบริษัทฯ

          ทั้งนี้ธุรกิจสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเป็นธุรกิจที่ได้รับการควบคุมโดยภาครัฐ (Regulated Business) เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินกิจการ และได้รับรายได้อย่างเหมาะสม สอดคล้องกับแผนการพัฒนาของภาครัฐ โดยรายได้ของโครงการจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่

      1) ค่าบริการส่วนของต้นทุนคงที่ (Demand Charge) ซึ่งจะสะท้อนเงินลงทุน ค่าใช้จ่าย และผลตอบแทนจากการลงทุนในรูปต้นทุน และ2) ค่าบริการส่วนของต้นทุนแปรผัน (Commodity Charge) ซึ่งคำนวณจากค่าใช้จ่าย ในส่วนที่เป็นต้นทุนแปรผันในการให้บริการ (Variable Cost) ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่แปรผันโดยตรงตามปริมาณการแปรสภาพก๊าซธรรมชาติเหลวเป็นก๊าซซึ่งต้นทุนทั้งหมดจะถูกส่งผ่าน (Passed Through) ไปยังลูกค้าที่มาใช้บริการโครงการ 

           หากมีความคืบหน้าในการพัฒนาโครงการดังกล่าว บริษัทฯ จะแจ้งรายละเอียดให้ทราบต่อไป การทำรายการดังกล่าวถือเป็นรายการได้มาซึ่งสินทรัพย์ตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนที่ ทจ. 20/2551 เรื่อง หลักเกณฑ์ในการทำรายการที่มีนัยสำคัญที่เข้าข่ายเป็นการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งทรัพย์สิน และประกาศคณะกรรมการตลาด หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่อง การเปิดเผยข้อมูลและการปฏิบัติการของบริษัทจดทะเบียนในการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ พ.ศ. 2547

         รวมทั้งที่มีการแก้ไขเพิ่มเติม (รวมเรียกว่า “ประกาศการได้มาหรือจำหน่ายไปฯ”) โดยรายการดังกล่าวมีขนาดรายการ เท่ากับร้อยละ 8.14 จากการคำนวณตามเกณฑ์มูลค่ารวมของสิ่งตอบแทน ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่ได้ขนาดรายการสูงสุด โดยคำนวณจากข้อมูลทางการเงินรวมเสมือนสำหรับไตรมาส 1 ปี 2568และเมื่อรวมกับขนาดรายการได้มาซึ่งสินทรัพย์ของบริษัทฯ ในรอบระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมาก่อนวันที่คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติให้เข้าทำรายการในครั้งนี้ ทำให้มีขนาดรายการรวมสูงสุดทั้งสิ้นร้อยละ 20.11 ตามเกณฑ์มูลค่ารวมของสิ่งตอบแทน ซึ่งมีมูลค่าสูงกว่าร้อยละ 15 แต่ต่ำกว่าร้อยละ 50 จึงเข้าข่ายเป็นรายการได้มาซึ่งสินทรัพย์ ประเภทที่ 2 ตามประกาศการได้มาหรือจำหน่ายไปฯ กล่าวคือ เป็นรายการที่มีขนาดรายการเท่ากับหรือสูงกว่าร้อยละ 15 แต่ต่ำกว่า ร้อยละ 50 บริษัทฯ จึงมีหน้าที่เปิดเผยสารสนเทศต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และจัดส่งหนังสือแจ้งสารสนเทศให้แก่ผู้ถือหุ้น ภายใน 21 วัน นับแต่วันที่เปิดเผยรายการต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งมีรายละเอียดตามเอกสารแนบ