โบรกยก‘กลุ่มแบงก์’เด่น ‘ปันผลสูง-หลุมหลบภัย’ท่ามกลางวิกฤติ

โบรกยก‘กลุ่มแบงก์’เด่น ‘ปันผลสูง-หลุมหลบภัย’ท่ามกลางวิกฤติ

หุ้นกลุ่มแบงก์ หลุมหลบภัย ท่ามกลางวิกฤติ จ่ายปันผลสูง เสี่ยงต่ำ บล. ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล เผย กลุ่มแบงก์ยังคงมี เสน่ห์และเป็นโอกาสที่ดี สำหรับการลงทุน ด้าน บล.ทิสโก้ ระบุ กลุ่มแบงก์อัตราปันผลเฉลี่ยประมาณปีละ 6% ขณะที่ บล.เอเซีย พลัส เผยว่า น้ำหนักการจ่ายเงินปันผลมักจะอยู่ในครึ่งปีหลัง

ภาวะเศรษฐกิจโลกที่เปราะบางจากสงครามการค้า รวมถึงสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง และภาวะเงินเฟ้อที่ยังคงเป็นปัจจัยกดดันอย่างต่อเนื่อ ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มหันหา “หลุมหลบภัยใหม่” โดยหุ้นกลุ่มธนาคารถือเป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่น่าสนใจ มีศักยภาพจ่ายปันผลสูง 

“กรรณ์ หทัยศรัทธา” นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) จำกัด ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า แม้ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจไทยจะเผชิญความท้าทาย และธนาคารพาณิชย์มีความ “ระมัดระวัง” ในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มแบงก์ยังคงมี “เสน่ห์และเป็นโอกาสที่ดี” สำหรับการลงทุน เนื่องจากจ่ายปันผลได้ค่อยข้างสูง

“หากต้องการลงทุนเพื่อรับเงินปันผล นักลงทุนควรเลือกกลุ่มแบงก์แทนกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต้องกู้เงินจากธนาคาร ซึ่งปัจจุบันธนาคารพาณิชย์มีความเข้มงวดในการปล่อยกู้มากขึ้น ทำให้อสังหาริมทรัพย์ขาดสภาพคล่องและอาจต้องออกหุ้นกู้เพิ่มขึ้น ดังนั้น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์จึงเสียเปรียบกลุ่มแบงก์”

ทั้งนี้ การที่ธนาคารปล่อยกู้น้อยลง ทำให้สภาพคล่องหรือเงินสดอยู่กับธนาคารมากขึ้น ส่งผลให้ธนาคารสามารถจ่ายเงินปันผลและซื้อหุ้นคืนได้ โดยคาดว่ากำไรของ 4 ธนาคารใหญ่ อย่าง KBANK BBL SCB และ KTB จะสามารถรักษากำไรไว้ได้

“จากสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนส่งผลกระทบทางจิตวิทยาเป็นโอกาสในการลงทุนหุ้นกลุ่มธนาคาร อาจจะได้รับผลกระทบในระยะสั้น แต่กลุ่มแบงก์ยังสามารถกลับมายืนได้ หุ้นที่ชอบคือ KBANK SCB BBL KTB”

สำหรับหุ้น KBANK มีสัดส่วนสินเชื่อที่กระจายตัวดี ทั้ง SME ที่อยู่อาศัย และธุรกิจ นอกจากนี้ แม้ธนาคารแห่งประเทศไทยจะลดดอกเบี้ยลง ก็จะได้รับผลกระทบน้อยมากในแง่ของรายได้ดอกเบี้ย เพราะธนาคารปล่อยสินเชื่อน้อยอยู่แล้ว และไปเน้นการเติบโตจากรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย เช่น ธุรกิจประกันและธุรกิจบริหารความมั่งคั่งแทน

ขณะที่ SCB มีสัดส่วนสินเชื่อที่อยู่อาศัยสูงกว่าธนาคารอื่น ซึ่งการเติบโตของสินเชื่อในส่วนนี้จะน้อยลงตามนโยบายของธนาคารที่ระมัดระวังการปล่อยกู้ให้อสังหาฯ

“ธนวัฒน์ รื่นบันเทิง” หัวหน้านักวิเคราะห์ บล. ทิสโก้ ให้ข้อมูลเพิ่มว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งหลังปีนี้คาดว่าไม่ค่อยสดใส เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัวและการปรับลดดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มธนาคารถูกมองว่าเป็นหลุมหลบภัยสำหรับนักลงทุน ด้วย “จุดเด่น” มีการ “จ่ายเงินปันผลสูง” แม้กำไรจะชะลอตัว โดยกำไรที่ได้มาจะถูกนำมาจ่ายปันผลเกือบทั้งหมด ทำให้เมื่อราคาหุ้นธนาคารถูกลง อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลจึงสูงตามไปด้วย

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหุ้นกลุ่มธนาคารไม่ค่อยไปไหนในช่วงครึ่งปีหลัง ทำให้มีนักลงทุนบางกลุ่มเทขายออกมา แต่ทว่าก็จะมีนักลงทุนอีกกลุ่มเข้ามาซื้อเพราะหวังผลตอบแทนจากเงินปันผล และในภาวะที่ตลาดโดยรวมปรับตัวลดลง หุ้นกลุ่มธนาคารกลับมีแนวโน้มที่จะ Outperform ตลาดได้ดีกว่า

สำหรับนักลงทุนที่ไม่ต้องการรับความเสี่ยงมาก หุ้นกลุ่มธนาคารถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกนอกจากให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงแล้ว Downside Risk ต่ำ ราคาหุ้นมีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับปัจจุบัน นักลงทุนสามารถเข้าไปสะสมได้

นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งปีหลังอาจเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ที่ไม่เคยลงทุน หรือผู้ที่ตั้งใจลงทุนระยะยาว ด้วยอัตราปันผลเฉลี่ยประมาณปีละ 6% และมีโอกาสที่จะได้รับ Capital Gain เมื่อตลาดฟื้นตัวใน 2-3 ปีข้างหน้า

โดยหุ้นกลุ่มธนาคารที่น่าสนใจและคาดว่าจะสามารถจ่ายปันผลได้สูง และมีกำไรที่นิ่ง ได้แก่ TTB และ KTB มีพอร์ตสินเชื่อที่แข็งแกร่งกว่าธนาคารอื่น ทำให้ Downside Risk กำไรต่ำกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเศรษฐกิจครึ่งปีหลังแย่ลง ค่าใช้จ่ายด้าน Credit Cost หรือหนี้เสียอาจจะขึ้นไม่เยอะเท่าหุ้นตัวอื่น ๆ โดยเฉพาะ KTB ยังมีโอกาสในการจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นได้อีก

อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจโดยรวมจึงไม่แนะนำหุ้นในกลุ่มค้าปลีก การท่องเที่ยว หรือกลุ่มอื่น ๆ ที่ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมมากนัก เนื่องจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านที่เพิ่มขึ้น และแนวโน้มเศรษฐกิจที่คาดว่าจะแย่ลงในช่วงครึ่งปีหลังนี้

“ภาสกร หวังวิวัฒน์เจิรญ” ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ให้ข้อมูลต่อไปว่า ในช่วงเดือนส.ค.นี้ ใกล้เข้าสู่ฤดูการจ่ายเงินปันผลอีกครั้ง ทำให้นักลงทุนกลับมาให้ความสนใจในหุ้นกลุ่มธนาคาร เนื่องจากสามารถจ่ายเงินปันผลได้สูง โดยในช่วงครึ่งปีแรกเงินปันผลมักจะไม่ได้มีจำนวนมากเท่ากับในช่วงครึ่งปีหลัง ธนาคารขนาดใหญ่มีการจ่ายปันผลในช่วงครึ่งปีแรกประมาณ 2-2.5 บาทต่อหุ้น 

อย่างไรก็ตาม น้ำหนักการจ่ายเงินปันผลมักจะอยู่ในครึ่งปีหลัง ยกเว้น TTB เนื่องจากมีการจ่ายเงินปันผลเท่ากันทั้งครึ่งปีแรกและครึ่งปีหลัง ขณะที่ หุ้น KTB มีปัจจัยพื้นฐาน บวกกับมีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์ที่ดูจะทำได้ดีกว่าธนาคารอื่นๆ