บอร์ดเคาะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท หุ้นกลุ่มโรงแรมกระทบจำกัด

บล.เอเซีย พลัส เผย การปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำปี 2568 ตั้งแต่ 1 ก.ค. 68 เป็นต้นไป เป็นวันละ 400 บาท หุุ้นกลุ่มโรงแรมกระทบต่อค่าแรงของผู้ประกอบการน้อยกว่ารอบก่อน ขณะที่ราคาเริ่มฟืื้นตัว จากการเปิดให้ผู้ประกอบการลงทะเบียนเข้ารวมเที่ยวไทยคนละครึ่ง ด้านความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ยังต้องระวัง
ภาสกร หวังวิวัฒน์เจริญ นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ บล.เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า หลังจากที่บอร์ดค่าจ้าง มีมติ 2 ใน 3 ให้ปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำปี 2568 ตั้งแต่ 1 ก.ค. 68 เป็นต้นไป เป็นวันละ 400 บาทในพื้นที่ กทม. ส่วนจังหวัดอื่นขึ้นค่าแรง กิจการโรงแรมทั่วประเทศ ตั้งแต่ระดับ 2 ดาวขึ้นไป หรือโรงแรม 50 ห้องขึ้นไป
สำหรับการปรับขึ้นค่าแรงครั้งนี้ จะกระทบต่อค่าแรงของผู้ประกอบการน้อยกว่ารอบก่อนๆ เหตุเพราะธุรกิจโรงแรมมีการปรับขึ้นเป็น 400 บาท ในรอบปี 2567 แล้ว ทั้ง กทม.เขต ปทุมวัน วัฒนา (สุขุมวิทซอยเลขคี่ เป็นส่วนใหญ่) รวมถึงต่างจังหวัดในแหล่งท่องเที่ยวหลัก อย่าง ภูเก็ต พัทยา หัวหิน สมุย หาดใหญ่ และ กระบี่ (อ่าวนาง)
ทำให้ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการขึ้นค่าแรงครั้งนี้ จะอยู่เฉพาะในเขตที่ค่าแรงยังไม่ถึง 400 บาท ของ กทม. ซึ่งอยู่ที่ 372 บาท เป็น 400 บาท สูงขึ้น 7.5% และต่างจังหวัดที่ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวหลัก ปัจจุบัน เฉลี่ยอยู่ที่ 356 บาท เป็น 400 บาท สูงขึ้น 12.3%
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยมองลบเล็กน้อย จากการขึ้นค่าแรง เนื่องจากกระทบค่าใช้จ่ายพนักงานของผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมไทย อย่าง ERW ค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงาน คิดเป็นสัดส่วน 28% ของ OPEX ปี 2567 ตามด้วย CENTEL ค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงาน คิดเป็น สัดส่วน 26% ของ OPEX ปี 2567 และ MINT กระทบน้อยกว่ากลุ่มฯ เพราะรายได้ราว 50% มาจากโรงแรมใน EU และอีก 19% มาจากร้านอาหาร
โดยรอบนี้ ERW จะกระทบเชิง Sentiment มากกว่ากลุ่มฯ เนื่องจากโรงแรมใน กทม. บน ถนนสุขุมวิท ตั้งแต่ JW Marriot สุขุมวิทซอย 4 ถึงสุขุมวิทซอย 24 อยู่เขตคลองเตย รวมถึง Hop Inn ในเมืองท่องเที่ยวรอง สัดส่วนรายได้ Hop Inn ไทยอยู่ที่ 12% ของ รายได้รวม แต่ Hop Inn ใช้พนักงานไม่มากเท่าโรงแรมใหญ่ ด้าน CENTEL มีโรงแรมในไทย 3 แห่ง อยู่ในโซนพื้นที่ที่ยังไม่ถึง 400 บาท อาทิ ลาดพร้าว แจ้งวัฒนะ และแม่สอด
ทั้งนี้ การปรับขึ้นค่าแรงทั้งระบบ ทำให้การส่งผ่านต้นทุนไปยังค่าห้องพัก มีโอกาสเกิดขึ้นในลำดับถัดไป ประกอบกับบริษัทจดทะเบียน จ่ายค่าแรงสูงกว่าขั้นต่่าอยู่แล้ว โดยกรณี Worst case ประเมินผลกระทบต่อประมาณการของโรงแรมไทยไม่เกิน 2%
นอกจากนี้ ราคาหุ้นในกลุ่มฟื้นตัว จาการเปิดให้ผู้ประกอบการลงทะเบียนเข้ารวม "เที่ยวไทยคนละครึ่ง" และการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพ F1 แต่ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น และ Sentiment ลบจากค่าแรง มีโอกาสกดดันราคาหุ้นในกลุ่มฯ โดยตัวเลือกในกลุ่มฯเรียงตามความชอบ ดังนี้ MINT CENTEL ERW AOT เป็นไปตามการกระจายตัวของรายได้ไปยังต่างประเทศ มีโอกาสเติบโตในระยะยาวมากกว่า






