โบรกเปิดลิสต์ 9 บจ.ใหญ่หุ้นไทย เตรียมเข้าโครงการ JUMP+

โบรกเปิดลิสต์ 9 บจ.ใหญ่หุ้นไทย  เตรียมเข้าโครงการ JUMP+

ตลาดหุ้นไทยเผชิญปัจจัยลบตั้งแต่ก่าวเข้าสู่Q2 ปี 68 ดัชนีตลาดหุ้นไทย อยู่ในสถานะ Underperform ภูมิภาค -18% YTD เทียบกับ MSCI Asia ex. Japan +12% YTD  จนทำให้มาตรการตลาดทุนไทยไม่เพียงพอกับสถานการณ์ปัจจุบัน

ทาง “บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)  หยวนต้า (ประเทศไทย) ” ได้วิเคราะห์มาตรการใหม่ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จะออกมา คาดหวังว่าโครงการ JUMP+ ที่เริ่มอย่างเป็นทางการปลายเดือนนี้ จะกระตุ้นให้บริษัทจดทะเบียนยกระดับการเติบโตของผลประกอบการ ทั้งการเติบโตจากภายใน และการ M&A ภายใต้กรอบการดำเนินธุรกิจที่มีบรรษัทภิบาล สร้างความน่าสนใจจากนักลงทุน ทั้งในและต่างประเทศลดความผันผวนให้กับคาดการณ์ EPS ของ SET Index

สำหรับโครงการ JUMP+ เพื่อเพิ่มแรงจูงใจให้กับบจ. ที่มีแผนยกระดับการเติบโต โดยจะเปิดตัว 26 มิ.ย. นี้  เพื่อ "ส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนในระยะยาว"     เบื้องต้นบริษัทที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี อาทิ การยกเว้นภาษีนิติบุคคลชั่วคราวเป็นระยะเวลา 3 ปีสำหรับกำไรส่วนเพิ่มเมื่อเปรียบเทียบกับฐานกำไรของปีก่อนหน้า

รวมถึง “การนิรโทษกรรมภาษี” สำหรับกรณีบริษัทจดทะเบียนเข้าซื้อกิจการนอกตลาด ที่เคยจัดทำบัญชีสองชุด เพื่อสนับสนุนให้เกิดการควบรวมกิจการ ตั้งเป้ามีบริษัทเข้าร่วมโครงการในปีแรก 50 บริษัท โดยคุณสมบัติของบริษัทที่มีสิทธิเข้าร่วม คือ1. เป็นบริษัทจดทะเบียนใน SET หรือ mai 2. ไม่อยู่ภายใต้เครื่องหมาย CB, CS, CC, CF หรือมีความเสี่ยงเพิกถอน  3. ไม่มีผู้บริหารถูก ก.ล.ต. กล่าวโทษในรอบ 1 ปี 4.ต้องมีแผนธุรกิจชัดเจน และดำเนินตามแผนได้จริง มิฉะนั้นอาจถูกตัดสิทธิประโยชน์

ขณะที่ โครงการ Jump+คาดว่าจะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นความน่าสนใจในการลงทุน ให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะบริษัทที่เข้าร่วมโครงการ คาดว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุน จากคาดหวังในการยกระดับการเติบโต และ Valuation ที่มีโอกาสกลับมาเป็น Premium เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มอุตสาหกรรมในอนาคต ข้อเสนอที่มีโอกาสประกาศใช้เพิ่มเติมในอนาคตหุ้นขนาดใหญ่ ที่กำไรโตต่อเนื่อง มีโอกาสเข้าโครงการ Jump+

หากอิงจาก Coverageถือว่ามีหลายบริษัทที่คาดว่ามีโอกาสเข้าร่วมโครงการ และสามารถยกระดับการเติบโตอย่างมั่นคงได้ในอนาคต

โบรกเปิดลิสต์ 9 บจ.ใหญ่หุ้นไทย  เตรียมเข้าโครงการ JUMP+

โดยถ้าอิง 1.คาดการณ์ผลประกอบการปี 2566 มีการเติบโตต่อเนื่องจากปี 2568  2.มีแผนการเติบโตระยะยาวที่ชัดเจน 3.Valuation ไม่แพงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต 4.มีภาระภาษีในอัตราที่ใกล้เคียงระดับปกติ ได้บริษัทที่น่าสนใจคือ

ADVANC(ราคาเหมาะสม 315.00 บาท), BCPG (ราคาเหมาะสม 9.00 บาท), CPAXT(ราคาเหมาะสม 32.00 บาท), GULF(ราคาเหมาะสม 57.00 บาท), OR (ราคาเหมาะสม 15.70 บาท), PTT (ราคาเหมาะสม 32.50 บาท), SCB (ราคาเหมาะสม 130.00 บาท), SCC (ราคาเหมาะสม 180.00 บาท), TRUE (ราคาเหมาะสม 15.60 บาท) เป็นต้น

โดยมี "มุมมองเชิงบวก" ต่อโครงการดังกล่าว เพราะช่วยจูงใจให้บริษัทจดทะเบียนขยายธุรกิจเพื่อสร้างกำไรส่วนเพิ่มซึ่งจะช่วยปลดล็อก Valuation ให้ราคาหุ้นสะท้อนปัจจัยพื้นฐานของแต่ละบริษัทได้ดียิ่งขึ้นและถ้าหากโครงการนี้ประสบความสำเร็จ จะช่วยลดความผันผวนและยกระดับการเติบโตให้กับ EPS ของ SET Index ได้ด้วยเช่นเดียวกัน

ก่อนหน้านี้ มาตรการลดความผันผวนเพื่อฟื้นฟูกลไกตลาดทุนให้กลับมามีประสิทธิภาพอีกครั้ง ได้ประกาศใช้ไปแล้ว 7 มาตรการ คือ 1. Uptick Rule กำหนดให้ราคาขายชอร์ตต้องสูงกว่าราคาซื้อขายครั้งสุดท้าย(เริ่มใช้1 ก.ค. 2024) 2. ปรับเกณฑ์หลักทรัพย์ที่สามารถขายชอร์ต (เฉพาะ non-SET100)ต้องมี Market Cap เฉลี่ยไม่ต่ากว่า7,500 ล้านบาท, Monthly Turnover ไม่ต่ากว่า 2% และ Free Float ไม่น้อยกว่า 20% (เริ่มใช้1 ก.ค. 2024) 3. ขึ้นทะเบียนผู้ลงทุนแบบ HFT (เริ่มใช้1 ก.ค. 2024)

4.เพิ่มวิธีการจับคู่แบบ Auction สำหรับหลักทรัพย์ที่อยู่ในมาตรการกำกับการซื้อขายระดับ 2 ขึ้นไป(เริ่มใช้2 ก.ย. 2024)  5. Dynamic Price Band กำหนดเป็นรายหลักทรัพย์ที่ ±10% จากราคาซื้อขายล่าสุด(เริ่มใช้2 ก.ย. 2024) 6. Minimum Resting Time กำหนดที่ 250 มิลลิวินาที สำหรับคำสั่งซื้อขาย(เริ่มใช้2 ก.ย. 2024)

7. ปรับเพิ่มบทลงโทษกรณีผิดวินัย เช่น Naked Short Selling(เริ่มใช้1 พ.ย. 2024) 8. มาตรการชั่วคราว ลดความผันผวนจากภาษีนำเข้าสหรัฐลด Ceiling & Floor และ Dynamic Band เหลือ ±5% (8–11 เม.ย. 2024) และ 9.จำกัดการขายชอร์ตได้เฉพาะในหุ้น SET100 และหุ้นที่ตลาดหลักทรัพย์(เริ่มใช้16 เม.ย. 2024)

รวมทั้งปรับเกณฑ์ HFT ให้สามารถซื้อขายเฉพาะหุ้น SET100, DW, DR และ ETF เท่านั้น (เริ่มใช้7 ก.ค. 2025)เนื่องจากเกณฑ์คล้ายหุ้นที่ให้ Short Sell ได้ คาดว่าหุ้นที่สามารถซื้อขายผ่าน HFT จะมีจำนวนไม่ต่างกันราว 316 หลักทรัพย์ (ข้อมูล ณ 4 มิ.ย.) ซึ่งจะช่วยลดความผันผวนให้กับหุ้นขนาดกลาง-เล็กทั้ง SET และ mai ที่เหลืออยู่ราว 590 หลักทรัพย์ได้