โบรกคาด‘กลุ่มพลังงาน’ฟื้นเด่น จับตาราคาน้ำมันพุ่ง หาก ‘ปิดช่องแคบฮอร์มุซ’

โบรกคาด‘กลุ่มพลังงาน’ฟื้นเด่น จับตาราคาน้ำมันพุ่ง หาก ‘ปิดช่องแคบฮอร์มุซ’

โบรกคาดสงคราม “อิสราเอล-อิหร่าน” จำกัดวง แต่ยังไม่จบ พร้อมจับตา “ราคาน้ำมัน” พุ่ง หากปิด “ช่องแคบฮอร์มุซ” ดันน้ำมันพุ่งทะลุ 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หนุนหุ้น “กลุ่มพลังงาน” เด่น แนะ “เก็งกำไร” ระยะสั้น

สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางยังคงต้องเฝ้าจับตา แม้จะเริ่มมีสัญญาณผ่อนคลายเล็กน้อย โดยเฉพาะฝั่งอิหร่านที่เปิดโอกาสกลับมาเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์อีกครั้ง แต่เชื่อความขัดแย้งยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง

โบรกคาด‘กลุ่มพลังงาน’ฟื้นเด่น จับตาราคาน้ำมันพุ่ง หาก ‘ปิดช่องแคบฮอร์มุซ’

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ลิเบอเรเตอร์ เปิดเผย “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า สถานการณ์สงครามตะวันออกกลางยังไม่จบยังคงมีความไม่แน่นอน แม้ฝั่งของอิหร่านพยายามที่จะผ่อนปรนลงมาบ้าง และอาจจะมีการกลับมาเจรจาภาวะนิวเคลียร์กันอีกรอบหนึ่ง ขณะที่ฝั่งอิสราเอลเห็นว่า ยังไม่ได้มีท่าทีที่ลดละลงไป สัญญาณแบบนี้จึงเป็นคีย์หนึ่งที่ยังคลุมเครืออยู่

ทั้งนี้ ในฝั่งราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงแรกของความวุ่นวายจากระดับต่ำกว่า 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ไปสู่จุดสูงสุดเกือบ 78 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งทิศทางของสถานการณ์ยังคงต้องจับตาอย่างใกล้ชิด ส่วนหน้าหุ้นที่ลิ้งค์กับกลุ่มพลังงาน ถือว่าพื้นฐานกำลังค่อยๆ กลับมาดีขึ้นและ Valuation ไม่แพง ทำให้มีจังหวะการสลับเก็งกำไรได้ 

โดยสิ่งที่ต้องจับตาสำคัญต่อปัจจัยที่จะทำให้น้ำมันปรับตัวพุ่งขึ้นรุนแรง หากมีการปิดช่องแคบฮอร์มุซ เนื่องจาก 20% ของปริมาณน้ำมันทั่วโลกต้องผ่านช่องแคบนี้ แต่ในเบื้องต้นสถานการณ์ยังไม่รุนแรงถึงขั้นนั้น กรอบราคาน้ำมันเบรนท์จึงคาดจะอยู่ที่ประมาณ 70-80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หากไม่มีประเด็นการปิดช่องแคบดังกล่าว

นายประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ จำกัด ให้ข้อมูลต่อว่า เบื้องต้นสถานการณ์ยังไม่บานปลาย แต่น่าจะจำกัดวงอยู่เพียงเท่านี้ แต่น้ำมันก็จะมีการผลิตออกมาน้อยลง เนื่องจากการโจมตีของอิสราเอลที่มีการโจมตีไปยังแหล่งผลิตนิวเคลียร์ โรงงานนิวเคลียร์ หรือจุดยุทธศาสตร์ทางทหาร และการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันของอิหร่าน

ทั้งนี้ ปัจจุบันอิหร่านผลิตน้ำมันอยู่ที่ 4 ล้านบาร์เรลต่อวัน หากหายไปวันละ 1 ล้านบาร์เรล จะทำให้ราคาน้ำมันดิบเบนท์ปรับขึ้นประมาณ 10 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยเบื้องต้นมีการประมาณการกันว่า น้ำมันน่าจะหายไปอย่างน้อยวันละ 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน และอาจหายไปเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 6 เดือน ฉะนั้น น้ำมันดิบเบนท์น่าจะปรับตัวสูงขึ้นเกิน 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ภายใน 1-2 เดือนข้างหน้า

อย่างไรก็ตาม คาดจะไม่บานปลายจนทำให้น้ำมันปรับเพิ่มขึ้นสูง เนื่องจากคาดว่าจะมีการชดเชยผลผลิตน้ำมันจากประเทศผู้ผลิตอื่นๆ ในกลุ่มโอเปก เช่น ซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รวมถึงน้ำมันเชลล์ออยล์ของสหรัฐ ซึ่งอาจจะช่วยจำกัดราคาให้อยู่ในกรอบประมาณ 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

นอกจากนี้ หากสงครามเกิดบานปลายถือเป็นเรื่องใหญ่ หรือในกรณีที่เลวร้ายที่สุดหากมีการปิดช่องแคบเฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันขนาดใหญ่จากตะวันออกกลางไปยังเอเชียและยุโรป หากช่องแคบนี้ถูกปิด การส่งออกน้ำมันจะหายไปกว่า 20% และจะส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นเกิน 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้ อย่างไรก็ตาม ความเป็นไปได้ที่จะเกิดสงครามถึงขนาดนั้นยังมีน้อย และน่าจะยังคงจำกัดอยู่ที่การสาดขีปนาวุธใส่กัน

นายกรรณ์ หทัยศรัทธา นักกลยุทธ์การลงทุน บล. ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) จำกัด ให้ข้อมูลเสริมว่า ความขัดแย้งในตะวันออกกลางส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดน้ำมันทำให้มีความผันผวนที่สูงขึ้นอย่างมาก ซึ่งราคาในช่วงสั้นๆ จะพุ่งสูงกว่าราคาในช่วงระยะกลางถึงยาว ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความไม่แน่นอนและความผันผวนที่กำลังเกิดขึ้นในตลาดอย่างชัดเจน

ทั้งนี้ แม้จะมีการเจรจา และทรัมป์เข้ามาช่วย แต่ภาพรวมของน้ำมันมีแนวโน้มที่จะมีความผันผวนสูงมากในลักษณะขึ้นแรง ลงแรง สลับกันไป ซึ่งไม่ใช่การขึ้นในทิศทางเดียวต่อเนื่องอย่างที่เคยคาดการณ์ไว้ ซึ่งการที่น้ำมันจะทะลุระดับ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ไปจนถึง 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลคงไม่ใช้เวลานี้ แต่เป็นในรูปของความผันผวนมากกว่า ฉะนั้น หากนักลงทุนซื้อหุ้นเทรดดิ้งในกลุ่มพลังงานเน้นกลยุทธ์เข้าเร็ว ออกเร็ว และควรมีการตั้งจุดตัดขาดทุนไว้ด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงภาวะสงครามการซื้อทองคำถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี