ดาวโจนส์ปิดตลาดดีดขึ้น 300 จุด รับข่าวอิหร่านขอทรัมป์ช่วยสงบศึก

ดาวโจนส์ดีดตัวขึ้น หุ้นฟื้นตัวในวันจันทร์ เนื่องจากนักลงทุนมีความหวังว่าความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านอาจถูกควบคุมไว้ได้ ราคาของน้ำมันที่พุ่งสูงลดลง
ซีเอ็นบีซี รายงานว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฟื้นตัวในวันจันทร์( 16 มิ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนมีความหวังดีว่าความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน อาจยังคงถูกควบคุมไว้ได้ ราคาของน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นจากความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงขึ้นก็ลดลงเช่นกัน อิหร่านสงสัญญาณขอให้ประธานาธิบดีทรัมป์ ช่วยกดดันอิสราเอลให้หยุดโจมตีอิหร่าน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ Dow Jones Industrial Average ปิดตลาดเพิ่มขึ้น 317.30 จุด หรือ 0.75% ปิดที่ 42,515.09 จุด ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 0.94% ปิดที่ 6,033.11 จุด ขณะที่ดัชนีแนสแด็ก Nasdaq Composite พุ่งขึ้น 1.52% ปิดที่ 19,701.21 จุด
ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสอินเตอร์มีเดียต (WTI) สัญญาซื้อขายล่วงหน้าร่วงลงมากกว่า 1% สู่ระดับ 71.77 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากซื้อขายสูงกว่า 77 ดอลลาร์ในช่วงข้ามคืน
นักลงทุนจับตาดูตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิด หลังจากที่อิสราเอลโจมตีอิหร่านเมื่อวันศุกร์ อิหร่านยิงขีปนาวุธตอบโต้ ทำให้ความขัดแย้งในภูมิภาครุนแรงขึ้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา นักลงทุนมีความหวังอยู่บ้างว่าสถานการณ์จะไม่เลวร้ายลง หลังจากมีรายงานว่าอิหร่านได้ขอให้หลายประเทศ รวมทั้งซาอุดีอาระเบีย เรียกร้องให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กดดันอิสราเอลให้หยุดยิงทันที สำนักข่าวเอ็นบีซี รายงานโดยอ้างนักการทูตตะวันออกกลางที่ทราบสถานการณ์ดังกล่าว การหยุดยิงดังกล่าวจะแลกกับการที่อิหร่านจะกลับมาเจรจาเรื่องโครงการพัฒนานิวเคลียร์กับสหรัฐหลังอิหร่านยกเลิกการเจรจาที่เดิมกำหนดไว้ในวันอาทิตย์
“ตลาดรู้สึกสบายใจจากแนวโน้มที่ว่าความขัดแย้งอาจยังคงอยู่ในโหมดสงครามในขอบเขตจำกัด” กฤษณะ คูหา รองประธาน Evercore ISI กล่าวในบันทึกเมื่อวันจันทร์ “เราประเมินว่าสิ่งนี้เป็นไปได้ แต่ยังคงคาดการณ์ว่าความขัดแย้งจะกินเวลานานสองสามสัปดาห์ในกรณีพื้นฐาน และยังเห็นความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของการทวีความรุนแรงที่กินเวลานานและการดึงสหรัฐฯ เข้ามาร่วม”
การโจมตียังคงดำเนินต่อไปเป็นวันที่สี่ในวันจันทร์ โดยทั้งสองประเทศโจมตีโครงสร้างพื้นฐานทางด้านพลังงานของกันและกัน ซึ่งการลุกลามอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดโลกในสัปดาห์หน้า อิหร่านกล่าวว่ากำลังพิจารณาปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางสำคัญสำหรับตลาดน้ำมันโลก โฆษกกองทัพอิสราเอลกล่าวเมื่อวันจันทร์ว่า "มีอำนาจเหนือกว่าในน่านฟ้าของอิหร่าน"
ความขัดแย้งดังกล่าวกระตุ้นให้เกิดการเทขายหุ้นในวันศุกร์ โดยดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงมากกว่า 700 จุด และดัชนีหลักทั้งสามดัชนีร่วงลงมากกว่า 1% ดัชนีดาวโจนส์ปิดสัปดาห์ลดลง 1.3% ขณะที่ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq Composite ลดลง 0.4% และ 0.6% ตามลำดับ
ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นในช่วงแรกหลังจากการโจมตีของอิสราเอล ซึ่งส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์เสี่ยง ราคาทองคำก็พุ่งสูงขึ้นเช่นกัน เนื่องจากโลหะชนิดนี้ถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่นักลงทุนแห่ซื้อในช่วงที่ตลาดผันผวน
ราคาหุ้น 7 นางฟ้า “Magnificent Seven” ทั้งหมดปรับตัวสูงขึ้นในวันจันทร์ จากการที่ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงทำให้ผู้ลงทุนต้องการเสี่ยงมากขึ้นอีกครั้ง Tesla ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 1% และ Meta Platforms
ปรับตัวสูงขึ้นเกือบ 3% โดยมีข่าวว่าโฆษณากำลังไหลเข้า WhatsApp ในขณะเดียวกัน Palantir ซึ่งถือเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากความขัดแย้งระดับโลกที่เพิ่มมากขึ้น ปรับตัวสูงขึ้นเกือบ 3%
นักลงทุนยังได้รับรู้ข้อมูลการสำรวจภาคการผลิตที่อ่อนแอกว่าที่คาดในเช้าวันจันทร์ ซึ่งเกิดขึ้นก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยในวันพุธ
เครื่องมือติดตามเฟด FedWatch ของ CME Group สะท้อนว่า มีโอกาสประมาณ 100% ที่ธนาคารกลางจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ แม้ว่าทรัมป์จะกดดันให้เจอโรม พาวเวลประธานเฟด ลดอัตราดอกเบี้ยก็ตาม ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจากความขัดแย้งในตะวันออกกลางน่าจะลดโอกาสที่เฟดจะผ่อนปรนนโยบายการเงินในเร็วๆ นี้ลงอีก







