‘หุ้นไทย’ เสี่ยงร่วงแตะ 1,050 จุด โบรกชี้ ‘เศรษฐกิจ-การเมือง-อิสราเอลและอิหร่าน’ กดดัน

‘หุ้นไทย’เสี่ยงร่วงแตะ 1,050 จุด โบรกชี้ ‘เศรษฐกิจ-การเมือง-อิสราเอลและอิหร่าน’ กดดัน แนะ “Wait and See” ถือเงินสดเพิ่ม รอจังหวะลงทุนครึ่งปีหลัง
“หุ้นไทย” ปิดตลาดวานนี้ร่วง 8.21 จุด อยู่ที่ 1,114.49 จุด หลังสารพัดปัจจัยลบรุมเร้า “บล.ทิสโก้” ชี้เศรษฐกิจไม่สดใส การเมืองไม่แน่นอน ความตึงเครียดอิสราเอล-อิหร่าน “บล.หยวนต้า” แนะรอความชัดเจนการเมือง ควรชะลอลงทุนจนกว่าสถานการณ์การเมืองในประเทศจะนิ่ง “บล.ยูโอบี เคย์เฮียน” แนะมองหาโอกาสลงทุนในระยะกลางครึ่งปีหลัง
ความเคลื่อนไหว “ดัชนีหุ้นไทย” วานนี้ (16 มิ.ย.2568) ปิดตลาดร่วง 8.21 จุด มาอยู่ที่ 1,114.49 จุด หรือลดลง 0.73% มูลค่าการซื้อขาย 41,122.78 ล้านบาท ระหว่างวันทำจุดต่ำสุด 1,107.79 จุด ลดลง 14.91 จุด ปัจจัยหลักๆ มาจากตลาดหุ้นไทยยัง “ไร้ปัจจัยใหม่” สนับสนุน ขณะที่แรงกดดันจากปัจจัยเดิมยังคงรุมเร้า ทั้งภาวะเศรษฐกิจที่ไม่สดใส ความเสี่ยงการเมือง และตะวันออกกลางที่ยังตึงเครียด นักวิเคราะห์หลายสำนักแนะนักลงทุนชะลอการลงทุนชั่วคราว โดยคาดแนวรับสำคัญปีนี้อยู่ที่ 1,050 จุด ถือเงินสดรอความชัดเจน
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล. ทิสโก้ ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสที่จะปรับตัวลงต่อ เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาหนุน ซึ่งยังมีความกังวลต่อปัจจัยเดิม ๆ อยู่ เช่น ภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่สดใส ความไม่แน่นอนทางการเมือง และความตึงเครียดในตะวันออกกลาง ซึ่งยังเป็นปัจจัยที่ยังคงมีความเสี่ยงอยู่
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเฉพาะตัวที่ส่งผลกระทบอย่าง หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและโรงพยาบาลที่พึ่งพิงลูกค้าต่างประเทศ โดยเฉพาะลูกค้าชาวอาหรับ รวมถึงกรณีของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ที่มีประเด็นเรื่อง King Power ขอยกเลิกพื้นที่ Duty Free ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่กดดันตลาดเช่นกัน
โดยมีมุมมองว่า ตลาดหุ้นมีโอกาสที่จะปรับตัวลงไปต่อ ซึ่งปัจจัยทางเทคนิควันนี้ถือเป็นวันแรกที่หลุด 1,120 จุด และมีโอกาสที่จะปรับตัวลงไปแถว ต่ำกว่า 1,100 จุด ซึ่งหากจะหลุดต่ำกว่า 1,000 จุด อาจจะต้องดูพัฒนาการเรื่องของการเมืองด้วย แต่ในระยะสั้น ๆ อาจจะเกิดรีบาวนด์ขึ้นได้ ในเชิงกลยุทธ์ถ้าต่ำกว่า 1,100 จุดลงมา นักลงทุนมีโอกาสเข้าไปซื้อได้ก่อนที่จะรีบาวนด์ แต่ยังไม่ใช่เป็นขาขึ้น เพราะภาพรวมยังมีปัจจัยที่ยังคลุมเครือ เช่น เศรษฐกิจ การเมือง
“กลยุทธ์หลักเน้นย้ำมาโดยตลอดว่า หาก SET หลุด 1,180 จุด ให้ Wait and See รอดูสถานการณ์ และเพิ่มการถือเงินสดบางส่วน ซึ่งขณะนี้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงมาติดต่อกัน 5 สัปดาห์ และสัปดาห์นี้จะเป็นสัปดาห์ที่ 6 และในปลายสัปดาห์จะมีการปรับน้ำหนักดัชนี FTSE ซึ่งหุ้นไทยโดนปรับลดน้ำหนักลง ซึ่งจะมีเม็ดเงินไหลออก 150 ล้านดอลลาร์ ซึ่งแม้ตลาดจะปรับตัวลง ”
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า หุ้นไทยยังคงปรับตัวลงต่อเนื่องจากความกังวลต่อสถานการณ์การเมืองในประเทศที่ยังขึ้นอยู่กับการ ปรับ ครม. จะสามารถทำให้การเมืองนิ่งได้หรือไม่ หากไม่นิ่งจะตามมาด้วยเงื่อนไขเกี่ยวกับการยุบสภาหรือไม่ ก็ยังต้องรอดูความชัดเจน ฉะนั้น ขณะนี้การเมืองยังคงเป็นเรื่องหลักต้องเฝ้าติดตาม
ตามมาด้วยสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ยังมีความไม่แน่นอน รวมถึงการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับไทยที่ยังไม่มีการกำหนดวัน ขณะที่สถานการณ์ตะวันออกกลางหากรุกลามบานปลายก็จะเป็นลบ เพราะทำให้เงินเฟ้อทั่วโลกขึ้น มองดัชนี 1,090 จุด เป็นแนวรับที่ดี แต่ทว่า หลุดไปถึง 1,000 จุด ยังคิดว่าไม่น่าจะปรับลงไปได้
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ รองกรรมการผู้จัดการ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) บอกว่า สถานการณ์ตลาดหุ้นยังคงมีความกังวลคือ สถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลาง ยังคงส่งผลกระทบต่อความต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง และทำให้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจกระตุ้นเงินเฟ้อได้ ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจไทยมีทิศทางชะลอตัวลง ทำให้ผลประกอบไตรมาส 2 ปี 2568 และไตรมาส 3 ปี 2568 มีโอกาสชะลอตัวลงจากไตรมาส 1 ปี 2568
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นของ AOT ซึ่งแบงก์การันตีของ AOT แม้จะช่วยปกป้องความเสี่ยงผลประกอบการระยะสั้น แต่ความเสี่ยงนี้ได้ถูกถ่ายโอนไปยังหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์แทน เนื่องจากธนาคารมีความเสี่ยงที่จะต้องจ่ายเงินจำนวนนั้นให้กับ AOT ทำให้ผลกระทบไม่ได้จำกัดอยู่แค่ AOT เท่านั้น แต่ยังรวมถึงกลุ่มธนาคารพาณิชย์ด้วย
โดยมองแนวโน้มดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสที่จะชะลอตัวลงไปใกล้กับระดับต่ำสุดเดิมที่ประมาณ 1,056 จุด แต่ทว่าจะให้หลุดไปในระดับ 1,000 จุด คาดว่าน่าจะยังไม่ถึงขนาดนั้น เนื่องจากว่า Valuation ของหุ้นหลายกลุ่มได้ปรับตัวลดลงมามากแล้ว ซึ่งหุ้นหลายตัวที่เคยซื้อขายที่ P/E 25-30 เท่า ปัจจุบันลดลงเหลือประมาณ 15 เท่า
อย่างไรก็ตาม แนะนำนักลงทุนมองในภาพระยะกลางหาโอกาสลงทุนได้หรือมีโอกาสฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง กลุ่มที่น่าสนใจได้แก่ กลุ่มท่องเที่ยวหลายตัวปรับลดลงมาใกล้ระดับต่ำสุดในช่วงโควิดแต่สถานการณ์ปัจจุบันดีกว่าตอนนั้นมาก แม้ผลประกอบการอาจชะลอตัว แต่ก็ไม่น่าจะถึงขั้นขาดทุน เหมือนช่วงโควิดที่ขาดทุนไป 2 ปี กลุ่มค้าปลีกไม่ได้มีความเสี่ยงทุกตัว ซึ่ง CPALL CPAXT COM7 ประมาณการกำไรตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันยังไม่ได้ถูกปรับลดลงเลย หรือบางตัวมีการปรับขึ้นเล็กน้อยด้วยซ้ำ







